ประกาศ: ขณะนี้ XM กำลังจัดโปรโมชั่นพิเศษอยู่

Spread คืออะไร? วิธีคำนวณต้นทุนที่แท้จริง

Spread คืออะไร? วิธีคำนวณต้นทุนที่แท้จริง

สำหรับผู้ที่เริ่มต้นลงทุนและพบเจอคำว่า Spread ในบทความการลงทุนบ่อยๆ
“เห็น Spread บ่อยมากในบทความการลงทุน แต่ไม่เข้าใจว่ามันคืออะไรและมีผลต่อการลงทุนอย่างไร…”
“กังวลว่าถ้าไม่เข้าใจเรื่อง Spread จะทำให้ขาดทุนโดยไม่รู้ตัว…”

การทำความเข้าใจเรื่อง Spread เป็นพื้นฐานสำคัญที่จะช่วยให้นักลงทุนประเมินต้นทุนที่แท้จริงและวางแผนการลงทุนได้แม่นยำขึ้น ไม่ว่าจะลงทุนในตลาดไหน

เริ่มทำความเข้าใจ Spread ตั้งแต่วันนี้ จะช่วยให้การลงทุนในอนาคตมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ในบทความนี้ เราจะอธิบายเกี่ยวกับ

  1. ความหมายของ Spread ที่มีผลต่อต้นทุนการลงทุน
  2. การเปรียบเทียบ Spread ในตลาดการเงินต่างๆ
  3. กลยุทธ์การจัดการ Spread เพื่อเพิ่มผลกำไร

โดยผู้เขียนจะแบ่งปันประสบการณ์จริงจากการเทรดในตลาดการเงินมากกว่า 10 ปี

ผู้เขียนเข้าใจดีว่าศัพท์ทางการเงินอาจทำให้รู้สึกสับสนและขาดความมั่นใจในการลงทุน แต่เมื่ออ่านบทความนี้จบ ท่านจะเข้าใจเรื่อง Spread อย่างทะลุปรุโปร่ง และสามารถนำไปใช้ในการลงทุนได้จริง โปรดอ่านต่อเพื่อทำความเข้าใจไปพร้อมกัน!

\แนะนำบัญชีที่ผู้เขียนที่นี่/
เปิดบัญชี XM รับโบนัส ฟรี
สารบัญ

Spread คืออะไร? เข้าใจง่ายๆ ใน 3 นาที

บทที่ 1
Spread คืออะไร? เข้าใจง่ายๆ ใน 3 นาที

Spread หรือส่วนต่างราคาในการลงทุน เป็นต้นทุนแฝงที่มักถูกมองข้าม แต่มีผลกระทบโดยตรงต่อผลตอบแทนการลงทุนของคุณ

การเข้าใจเรื่อง Spread เป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับนักลงทุนทุกระดับ เพราะช่วยให้ประเมินต้นทุนที่แท้จริงและวางแผนการลงทุนได้แม่นยำขึ้น

ในส่วนนี้ เราจะอธิบายความหมายของ Spread และผลกระทบที่มีต่อการลงทุนของคุณอย่างละเอียด

ส่วนต่างราคาซื้อขาย (Bid-Ask) ที่มีผลต่อกำไรของคุณ

Spread คือส่วนต่างระหว่างราคาเสนอซื้อ (Bid) และราคาเสนอขาย (Ask) ของสินทรัพย์การลงทุน

“มีหลายคนที่สงสัยว่าทำไมราคาซื้อและขายถึงไม่เท่ากัน”

เหตุผลที่มีส่วนต่างนี้เกิดจาก:

  1. ผู้ดูแลสภาพคล่อง (Market Maker) ต้องการกำไรจากการทำหน้าที่จับคู่ผู้ซื้อและผู้ขาย
  2. ความเสี่ยงที่ผู้ดูแลสภาพคล่องต้องแบกรับในการถือครองสินทรัพย์
  3. ต้นทุนในการดำเนินการซื้อขาย

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด:

  1. ตลาดหุ้น

    หากหุ้น A มีราคาเสนอซื้อที่ 10.00 บาท และราคาเสนอขายที่ 10.10 บาท Spread คือ 0.10 บาท หรือ 1% ของราคานี่คือต้นทุนแฝงที่คุณต้องจ่ายในการซื้อขายแต่ละครั้ง

  2. ตลาด Forex

    ในคู่เงิน EUR/USD หากราคาเสนอซื้ออยู่ที่ 1.0900 และราคาเสนอขายอยู่ที่ 1.0902 Spread จะเท่ากับ 0.0002 หรือ 2 pipsแม้จะดูเป็นตัวเลขที่น้อย แต่เมื่อเทรดในปริมาณมาก จะส่งผลต่อกำไรอย่างมีนัยสำคัญ

สรุปคือ Spread เป็นต้นทุนที่แฝงอยู่ในทุกธุรกรรมการลงทุนการเข้าใจเรื่องนี้จะช่วยให้คุณวางแผนการลงทุนได้แม่นยำขึ้น

ทำไม Spread ถึงเป็นต้นทุนแฝงที่นักลงทุนมักมองข้าม

นักลงทุนหลายคนมักให้ความสำคัญกับค่าธรรมเนียมการซื้อขายที่เห็นได้ชัด แต่มองข้าม Spread ที่เป็นต้นทุนแฝง

“บางคนอาจคิดว่าส่วนต่างราคาเพียงเล็กน้อยไม่น่าจะมีผลกระทบมาก”

ผลกระทบของ Spread ต่อการลงทุน:

  1. ลดผลตอบแทนสุทธิ

    หากคุณซื้อหุ้นที่มี Spread 1% คุณต้องทำกำไรอย่างน้อย 1% เพื่อคุ้มกับต้นทุนนี้ ก่อนที่จะเริ่มทำกำไรจริงยิ่งซื้อขายบ่อย ผลกระทบยิ่งสูงขึ้น

  2. เพิ่มต้นทุนการเทรดระยะสั้น

    สำหรับนักเทรดระยะสั้น Spread เป็นต้นทุนสำคัญที่ต้องคำนึงถึงการเทรดหลายครั้งในหนึ่งวันอาจทำให้ต้นทุน Spread สะสมจนส่งผลต่อกำไรอย่างมีนัยสำคัญ

  3. กระทบต่อจังหวะการเข้าซื้อขาย

    Spread ที่กว้างอาจทำให้คุณต้องรอราคาเคลื่อนไหวมากขึ้นก่อนจะทำกำไรได้ ส่งผลให้พลาดโอกาสการลงทุนที่ดี

วิธีจัดการกับผลกระทบของ Spread:

  1. เลือกสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูง Spread จะแคบกว่า
  2. เทรดในช่วงเวลาที่ตลาดมีความคึกคัก Spread มักจะแคบที่สุด
  3. คำนวณ Spread เป็นส่วนหนึ่งของต้นทุนการลงทุนทุกครั้ง
  4. พิจารณาระยะเวลาการลงทุนให้สอดคล้องกับ Spread
  5. เปรียบเทียบ Spread ระหว่างโบรกเกอร์ก่อนเลือกใช้บริการ

การเข้าใจและตระหนักถึงผลกระทบของ Spread เป็นทักษะสำคัญที่จะช่วยให้คุณบรรลุเป้าหมายการลงทุนเริ่มต้นจากการให้ความสำคัญกับ Spread เท่าๆ กับปัจจัยอื่นๆ ในการตัดสินใจลงทุน

เครื่องมือช่วยคำนวณผลกระทบของ Spread:

  1. Spreadsheet สำหรับคำนวณต้นทุน

    สร้างตารางคำนวณอย่างง่ายเพื่อติดตามผลกระทบของ Spread ในแต่ละธุรกรรมรวม Spread เข้ากับค่าธรรมเนียมอื่นๆ เพื่อเห็นต้นทุนรวมที่แท้จริง

  2. แอพพลิเคชันวิเคราะห์การเทรด

    ใช้แอพพลิเคชันที่มีฟังก์ชันวิเคราะห์ต้นทุนการเทรดหลายแอพสามารถแสดงผลกระทบของ Spread ต่อผลตอบแทนการลงทุนของคุณได้

  3. การจดบันทึกการเทรด

    บันทึกข้อมูล Spread ในแต่ละธุรกรรมเพื่อวิเคราะห์ผลกระทบในระยะยาวข้อมูลนี้จะช่วยให้คุณปรับกลยุทธ์การลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สุดท้าย การเข้าใจเรื่อง Spread อย่างถ่องแท้จะช่วยให้คุณ:
– ประเมินต้นทุนการลงทุนได้แม่นยำขึ้น
– วางแผนกลยุทธ์การซื้อขายได้เหมาะสม
– ตัดสินใจเลือกช่วงเวลาและตลาดในการลงทุนได้ดีขึ้น
– มีความมั่นใจในการบริหารพอร์ตการลงทุนมากขึ้น

เปรียบเทียบ Spread ในตลาดการเงินต่างๆ

บทที่ 2
เปรียบเทียบ Spread ในตลาดการเงินต่างๆ

แต่ละตลาดการเงินมี Spread ที่แตกต่างกัน การเข้าใจลักษณะเฉพาะของแต่ละตลาดจะช่วยให้วางแผนการลงทุนได้แม่นยำขึ้น

ความแตกต่างของ Spread ในแต่ละตลาดส่งผลโดยตรงต่อต้นทุนการลงทุน ยิ่งตลาดมีสภาพคล่องสูงและมีผู้เล่นมาก Spread ก็จะยิ่งแคบลง

ลองมาดูรายละเอียดของ Spread ในตลาดการเงินที่สำคัญแต่ละประเภทกัน

Spread ในตลาด Forex: เริ่มต้นที่ 1-3 Pips

ตลาด Forex เป็นตลาดที่มีสภาพคล่องสูงที่สุดในโลก ด้วยมูลค่าการซื้อขายกว่า 6.6 ล้านล้านดอลลาร์ต่อวัน ทำให้ Spread ในตลาดนี้ค่อนข้างแคบ

โดยทั่วไป คู่เงินหลักจะมี Spread อยู่ที่ 1-3 pips เท่านั้น

  1. EUR/USD: Spread แคบที่สุด

    คู่เงินที่มีการซื้อขายมากที่สุดในโลก มี Spread เฉลี่ยเพียง 1 pip หรือประมาณ 0.0001 ดอลลาร์ ซึ่งเหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นเพราะต้นทุนต่ำ

  2. USD/JPY: Spread ปานกลาง

    คู่เงินยอดนิยมในเอเชีย มี Spread เฉลี่ย 1-2 pips เหมาะสำหรับการเทรดระยะสั้นเพราะมีความผันผวนพอสมควร

  3. คู่เงินรอง: Spread กว้างขึ้น

    คู่เงินที่ไม่ใช่คู่หลักจะมี Spread กว้างกว่า อาจถึง 5-10 pips ควรระวังเรื่องต้นทุนเมื่อเทรด

Spread ในตลาดหุ้น: SET50 vs หุ้นทั่วไป

ตลาดหุ้นไทยมี Spread ที่แตกต่างกันตามขนาดและสภาพคล่องของหุ้น โดยหุ้นขนาดใหญ่จะมี Spread แคบกว่าหุ้นขนาดเล็ก

  1. หุ้น SET50: Spread แคบ 0.1-0.2%

    หุ้นขนาดใหญ่ในดัชนี SET50 มีสภาพคล่องสูง ทำให้ Spread แคบมาก เหมาะสำหรับการลงทุนระยะสั้นและระยะกลาง

  2. หุ้นทั่วไปใน SET: Spread 0.5-1%

    หุ้นขนาดกลางมี Spread กว้างขึ้น แต่ยังอยู่ในระดับที่ยอมรับได้สำหรับการลงทุนระยะกลางถึงยาว

  3. หุ้นขนาดเล็ก: Spread 1-2% หรือมากกว่า

    หุ้นที่มีสภาพคล่องต่ำจะมี Spread กว้าง ควรระมัดระวังในการลงทุนและวางแผนถือระยะยาวเพื่อลดผลกระทบจากต้นทุน

ความผันผวนของ Spread ในตลาดคริปโท

ตลาดคริปโทเคอร์เรนซีมีความผันผวนสูง และ Spread ก็ผันผวนตามไปด้วย โดยขึ้นอยู่กับเวลาและแพลตฟอร์มที่ใช้ซื้อขาย

  1. Bitcoin: Spread 0.1-0.3%

    Bitcoin มีสภาพคล่องสูงที่สุดในบรรดาคริปโทเคอร์เรนซี ทำให้ Spread ค่อนข้างแคบและคงที่ แต่อาจกว้างขึ้นในช่วงที่ตลาดผันผวนมาก

  2. Altcoin ขนาดใหญ่: Spread 0.5-1%

    เหรียญคริปโทขนาดใหญ่อย่าง Ethereum หรือ BNB มี Spread กว้างกว่า Bitcoin เล็กน้อย แต่ยังอยู่ในระดับที่จัดการได้

  3. เหรียญขนาดเล็ก: Spread 1-5% หรือมากกว่า

    เหรียญที่มีมูลค่าตลาดต่ำและสภาพคล่องน้อยจะมี Spread กว้างมาก ควรพิจารณาต้นทุนนี้อย่างรอบคอบก่อนลงทุน

  1. ช่วงเวลาที่ส่งผลต่อ Spread

    Spread ในตลาดคริปโทจะกว้างขึ้นในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูง เช่น ช่วงประกาศข่าวสำคัญ หรือช่วงที่ราคาเคลื่อนไหวรุนแรง ควรหลีกเลี่ยงการเทรดในช่วงนี้

  2. ความแตกต่างระหว่างแพลตฟอร์ม

    แต่ละแพลตฟอร์มมี Spread ไม่เท่ากัน โดยแพลตฟอร์มขนาดใหญ่มักมี Spread แคบกว่าเพราะมีสภาพคล่องสูง ควรเปรียบเทียบ Spread ระหว่างแพลตฟอร์มก่อนตัดสินใจเลือกใช้

  3. กลยุทธ์จัดการ Spread

    สำหรับการลงทุนในคริปโท ควรวางแผนการลงทุนโดยคำนึงถึง Spread ที่กว้างขึ้น เช่น ถือระยะยาวเพื่อลดผลกระทบของต้นทุน หรือเลือกเทรดเฉพาะเหรียญที่มีสภาพคล่องสูง

ผู้เริ่มต้นควรทำความเข้าใจว่า Spread ในตลาดคริปโทมีความผันผวนสูงกว่าตลาดการเงินอื่น จึงต้องวางแผนการลงทุนอย่างรอบคอบและเลือกใช้แพลตฟอร์มที่น่าเชื่อถือ

นอกจากนี้ ควรติดตามสภาวะตลาดอย่างใกล้ชิด เพราะในช่วงที่ตลาดผันผวน Spread อาจกว้างขึ้นอย่างมีนัยสำคัญและส่งผลต่อผลตอบแทนการลงทุนได้

3 กลยุทธ์จัดการ Spread ให้ได้กำไรสูงสุด

บทที่ 3
3 กลยุทธ์จัดการ Spread ให้ได้กำไรสูงสุด

การจัดการ Spread อย่างมีประสิทธิภาพเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้นักลงทุนสามารถทำกำไรได้มากขึ้น

ผู้เขียนพบว่านักลงทุนมือใหม่มักมองข้ามต้นทุนที่เกิดจาก Spread ทำให้ผลตอบแทนที่ได้รับน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้

ในส่วนนี้ เราจะอธิบายกลยุทธ์ที่จะช่วยให้การจัดการ Spread มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเน้นวิธีที่นำไปปฏิบัติได้จริง

เลือกโบรกเกอร์ที่มี Spread แคบ

การเลือกโบรกเกอร์ที่มี Spread แคบเป็นวิธีที่ง่ายและได้ผลที่สุดในการลดต้นทุนการลงทุน

“ฉันควรดูอะไรบ้างในการเปรียบเทียบ Spread ระหว่างโบรกเกอร์” เป็นคำถามที่พบบ่อยจากนักลงทุนมือใหม่

  1. เปรียบเทียบ Spread เฉลี่ยของสินทรัพย์ที่สนใจระหว่างโบรกเกอร์
  2. ตรวจสอบว่ามีค่าธรรมเนียมแฝงอื่นๆ หรือไม่
  3. พิจารณาช่วงเวลาที่ Spread กว้างขึ้นผิดปกติ
  1. ดู Spread จริงในช่วงที่ตลาดผันผวน

    บางโบรกเกอร์อาจเพิ่ม Spread ในช่วงที่ตลาดผันผวน ควรทดลองเปิดบัญชีทดลองและสังเกต Spread ในช่วงที่มีข่าวสำคัญหรือตลาดผันผวน

  2. เปรียบเทียบต้นทุนรวม

    นอกจาก Spread แล้ว ให้พิจารณาค่าคอมมิชชั่น ค่าธรรมเนียมการโอนเงิน และค่าธรรมเนียมรายเดือน เพื่อคำนวณต้นทุนรวมที่แท้จริง

  3. อ่านรีวิวจากผู้ใช้จริง

    ควรศึกษารีวิวจากนักลงทุนที่ใช้งานจริง เพื่อดูว่า Spread ที่โฆษณาตรงกับความเป็นจริงหรือไม่ และมีปัญหาในการทำธุรกรรมหรือไม่

เทรดในช่วงที่ตลาดมีสภาพคล่องสูง

การเลือกช่วงเวลาที่เหมาะสมในการเทรดเป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยลดต้นทุนจาก Spread

“ฉันเคยสังเกตว่าบางช่วงเวลา Spread กว้างมากผิดปกติ” เป็นประสบการณ์ที่หลายคนเคยพบ

  1. เทรดในช่วงที่ตลาดหลักเปิดทำการ
  2. หลีกเลี่ยงช่วงเวลาที่มีข่าวสำคัญ
  3. ระวังช่วงเปิด-ปิดตลาดที่ Spread มักกว้างกว่าปกติ
  1. เวลาที่เหมาะสมสำหรับแต่ละตลาด

    ตลาดหุ้นไทยมีสภาพคล่องสูงในช่วง 10.00-16.30 น ตลาด Forex มีสภาพคล่องสูงเมื่อตลาดลอนดอนและนิวยอร์กเปิดทำการพร้อมกัน คือช่วง 19.00-24.00 น ตามเวลาไทย

  2. สังเกตปฏิทินเศรษฐกิจ

    ควรติดตามปฏิทินเศรษฐกิจและหลีกเลี่ยงการเทรดในช่วงที่มีการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญ เพราะ Spread มักจะกว้างขึ้นมาก

  3. ระวังช่วงวันหยุด

    ในช่วงวันหยุดยาวหรือเทศกาลสำคัญ สภาพคล่องมักจะต่ำ ทำให้ Spread กว้างกว่าปกติ ควรลดขนาดการเทรดหรืองดเทรดในช่วงนี้

คำนวณต้นทุน Spread ก่อนเปิดออเดอร์

การคำนวณต้นทุน Spread ก่อนเปิดออเดอร์จะช่วยให้วางแผนการเทรดได้แม่นยำขึ้น

“ฉันไม่เคยคำนวณ Spread มาก่อน ทำให้กำไรที่ได้น้อยกว่าที่คาดไว้มาก” เป็นปัญหาที่พบบ่อยในนักลงทุนมือใหม่

  1. คำนวณต้นทุน Spread เป็นเงินบาท
  2. เทียบต้นทุน Spread กับกำไรที่คาดหวัง
  3. ปรับขนาดการเทรดให้เหมาะสมกับต้นทุน
  1. สูตรคำนวณต้นทุน Spread อย่างง่าย

    ต้นทุน Spread = Spread x ขนาดการเทรด เช่น หากเทรด EUR/USD 1 ล็อต (100,000 EUR) และ Spread = 2 pips ต้นทุนจะอยู่ที่ประมาณ 200-300 บาท

  2. กำหนดเป้าหมายกำไรที่สมเหตุสมผล

    เป้าหมายกำไรควรมากกว่าต้นทุน Spread อย่างน้อย 3 เท่า เพื่อให้คุ้มค่ากับความเสี่ยง เช่น หากต้นทุน Spread = 300 บาท ควรตั้งเป้ากำไรอย่างน้อย 900 บาท

  3. ใช้เครื่องคำนวณออนไลน์

    มีเครื่องมือคำนวณต้นทุน Spread ออนไลน์ที่ช่วยให้คำนวณได้ง่ายขึ้น แต่ควรเรียนรู้วิธีคำนวณด้วยตัวเองด้วยเพื่อความเข้าใจที่ลึกซึ้ง

สรุป: การเข้าใจ Spread คือกุญแจสำคัญสู่กำไรในการลงทุน

ในครั้งนี้ เราได้พูดถึงผู้ที่ต้องการทำความเข้าใจเรื่อง Spread ในการลงทุนอย่างละเอียด โดยกล่าวถึง

  1. ความหมายและความสำคัญของ Spread ที่มีต่อผลตอบแทน
  2. การเปรียบเทียบ Spread ในตลาดการเงินประเภทต่างๆ
  3. กลยุทธ์การจัดการ Spread เพื่อเพิ่มผลกำไร

โดยผู้เขียนได้แบ่งปันประสบการณ์จากการเป็นเทรดเดอร์มากกว่า 10 ปี และการบริหารพอร์ตการลงทุนที่หลากหลาย

การเข้าใจเรื่อง Spread เป็นพื้นฐานสำคัญที่จะช่วยให้นักลงทุนประเมินต้นทุนที่แท้จริงและวางแผนการลงทุนได้แม่นยำขึ้น

ผู้ที่เพิ่งเริ่มต้นลงทุนอาจรู้สึกกังวลเมื่อเจอศัพท์เทคนิคทางการเงิน แต่ความรู้เรื่อง Spread เป็นสิ่งที่สามารถเรียนรู้และนำไปใช้ได้จริง

การที่ท่านใช้เวลาศึกษาเรื่อง Spread อย่างละเอียดในวันนี้ แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจในการพัฒนาตัวเองเป็นนักลงทุนที่มีคุณภาพ

ผู้เขียนเข้าใจดีว่าการเริ่มต้นลงทุนอาจทำให้รู้สึกกังวลและไม่มั่นใจ โดยเฉพาะเมื่อต้องเจอกับศัพท์เทคนิคต่างๆ

อย่างไรก็ตาม ขอให้มั่นใจว่าทุกคนสามารถประสบความสำเร็จในการลงทุนได้ หากมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องและนำไปปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ ลองนำความรู้เรื่อง Spread ไปใช้ในการลงทุนครั้งต่อไป และท่านจะเห็นผลลัพธ์ที่ดีขึ้นอย่างแน่นอน!

ถ้าคุณชอบ โปรดแชร์ด้วยนะ!

ความคิดเห็น

コメントする

สารบัญ