สำหรับผู้ที่เพิ่งเริ่มต้นเทรดและกำลังประสบปัญหาขาดทุน
“พยายามศึกษาและทำตามคำแนะนำในยูทูบมากมาย แต่ทำไมยิ่งเทรดยิ่งขาดทุน…”
“ไม่รู้จะแก้ปัญหาการขาดทุนยังไง กลัวว่าเงินเก็บจะหมด…”
ความจริงแล้ว การขาดทุนจากการเทรดไม่ได้เกิดจากการขาดความรู้หรือเทคนิค แต่มักเกิดจากการควบคุมอารมณ์ไม่ได้และขาดระบบบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสม จากข้อมูลพบว่า นักลงทุนรายย่อยประสบปัญหาขาดทุนในปีแรก
แต่อย่าเพิ่งท้อใจ เพราะปัญหาเหล่านี้สามารถแก้ไขได้ด้วยการเข้าใจหลักการที่ถูกต้องและมีระบบที่เหมาะกับตัวเอง
ในบทความนี้ เราจะอธิบายเกี่ยวกับการแก้ปัญหาการขาดทุนจากการเทรด
- สาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้นักลงทุนมือใหม่ขาดทุน
- หลักการสำคัญในการแก้ปัญหาการขาดทุน
- วิธีสร้างระบบเทรดที่เหมาะกับตัวเอง
โดยผู้เขียนจะแบ่งปันประสบการณ์จริงจากการเทรด Forex กว่า 10 ปี
จากการได้พูดคุยกับนักลงทุนมือใหม่หลายคน ผู้เขียนเข้าใจดีว่าการขาดทุนสร้างความท้อแท้และความกังวลมากแค่ไหน แต่เชื่อเถอะว่าทุกคนสามารถประสบความสำเร็จได้ถ้ามีแนวทางที่ถูกต้อง ลองมาดูวิธีการแก้ปัญหาการเทรดที่ได้ผลจริงกันค่ะ
สาเหตุที่นักลงทุนมือใหม่ขาดทุนจากการเทรด
สาเหตุที่นักลงทุนมือใหม่ขาดทุนจากการเทรด
การขาดทุนจากการเทรดเป็นประสบการณ์ที่นักลงทุนมือใหม่ส่วนใหญ่ต้องเผชิญ แต่สิ่งสำคัญคือการเข้าใจสาเหตุที่แท้จริงเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นซ้ำ
จากสถิติของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พบว่า นักลงทุนรายย่อยประสบปัญหาขาดทุนในปีแรกของการเทรด โดยสาเหตุหลักไม่ได้มาจากการขาดความรู้ แต่เป็นเพราะการตัดสินใจด้วยอารมณ์และการขาดระบบบริหารความเสี่ยงที่ดี
ในส่วนนี้ เราจะวิเคราะห์สาเหตุสำคัญ 3 ประการที่ทำให้นักลงทุนมือใหม่ขาดทุนจากการเทรด
การตัดสินใจด้วยอารมณ์เป็นสาเหตุหลักของการขาดทุน
“คนส่วนใหญ่มักใช้อารมณ์นำการลงทุน โดยเฉพาะความโลภและความกลัว”
การตัดสินใจด้วยอารมณ์เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้นักลงทุนมือใหม่ขาดทุน มักเกิดจากการไม่สามารถควบคุมความโลภเมื่อราคาขึ้น หรือความกลัวเมื่อราคาลง
-
ความโลภทำให้ลงทุนเกินพอดี
เมื่อได้กำไรในช่วงแรก นักลงทุนมือใหม่มักเพิ่มขนาดการลงทุนมากเกินไป เพราะความเชื่อมั่นที่มากขึ้น ทำให้ขาดทุนหนักเมื่อตลาดผันผวน
-
ความกลัวทำให้ตัดสินใจผิดพลาด
เมื่อราคาลง นักลงทุนมักตัดสินใจขายทิ้งด้วยความตื่นตระหนก แม้ว่าการวิเคราะห์จะบอกว่าควรถือต่อ ทำให้พลาดโอกาสเมื่อราคากลับตัวขึ้น
-
อารมณ์แค้นทำให้เทรดถี่เกินไป
เมื่อขาดทุน นักลงทุนมักพยายามเอาคืนให้เร็วที่สุด ทำให้เทรดถี่ขึ้นและเสี่ยงมากขึ้น จนนำไปสู่การขาดทุนที่เพิ่มขึ้น
การขาดระบบบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสม
“การไม่มีแผนบริหารความเสี่ยงเหมือนการเดินเรือโดยไม่มีเข็มทิศ”
การขาดระบบบริหารความเสี่ยงที่ดีเป็นปัญหาสำคัญที่ทำให้นักลงทุนมือใหม่ขาดทุน โดยเฉพาะการไม่กำหนดจุดตัดขาดทุนและการไม่กระจายความเสี่ยง
-
ไม่กำหนดจุดตัดขาดทุน
นักลงทุนมือใหม่มักไม่ยอมตัดขาดทุนเมื่อราคาลง หวังว่าราคาจะกลับขึ้นมา ทำให้ขาดทุนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จากการวิจัยพบว่า การไม่มีจุดตัดขาดทุนที่ชัดเจนเป็นสาเหตุของการขาดทุนมากกว่า 50% ในนักลงทุนมือใหม่
-
ลงทุนแบบกระจุกตัว
การลงทุนในสินทรัพย์เดียวหรือกลุ่มเดียวทำให้มีความเสี่ยงสูง เมื่อเกิดปัญหากับสินทรัพย์นั้น ผลขาดทุนจะรุนแรงมาก
-
ไม่มีแผนรับมือสถานการณ์ฉุกเฉิน
นักลงทุนมือใหม่มักไม่เตรียมแผนสำรองเมื่อตลาดผันผวนรุนแรง ทำให้ตัดสินใจผิดพลาดในภาวะวิกฤต
เลเวอเรจและการใช้เงินลงทุนเกินพอดี
“การใช้เลเวอเรจเหมือนดาบสองคม ถ้าใช้ไม่เป็นจะทำร้ายตัวเอง”
เลเวอเรจและการใช้เงินลงทุนเกินพอดีเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้นักลงทุนมือใหม่ขาดทุนอย่างหนัก จากสถิติพบว่า นักลงทุนที่ขาดทุนจนเลิกเทรดมีสาเหตุมาจากการใช้เลเวอเรจไม่เหมาะสม
-
ใช้เลเวอเรจสูงเกินไป
นักลงทุนมือใหม่มักใช้เลเวอเรจสูงเพื่อเพิ่มกำไร แต่เมื่อตลาดเคลื่อนไหวตรงข้ามเพียงเล็กน้อย ก็อาจทำให้ขาดทุนจนหมดพอร์ต
-
ลงทุนเกินเงินออม
การใช้เงินก้อนใหญ่เกินไปหรือการกู้ยืมมาลงทุนทำให้เกิดความกดดันสูง ส่งผลให้ตัดสินใจผิดพลาดเมื่อเผชิญกับภาวะขาดทุน
-
ไม่สำรองเงินฉุกเฉิน
การนำเงินออมทั้งหมดมาลงทุนโดยไม่เหลือเงินสำรองทำให้เกิดปัญหาสภาพคล่อง และอาจต้องขายขาดทุนเมื่อมีความจำเป็นต้องใช้เงิน
3 หลักการสำคัญในการแก้ปัญหาการขาดทุน
3 หลักการสำคัญในการแก้ปัญหาการขาดทุน
การขาดทุนจากการเทรดเป็นปัญหาที่แก้ไขได้ด้วยหลักการที่ถูกต้องและการปฏิบัติอย่างมีวินัย
จากการศึกษาพบว่า นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ ล้วนยึดมั่นใน 3 หลักการพื้นฐาน ได้แก่ การวางแผนที่ชัดเจน การจัดการความเสี่ยงที่เป็นระบบ และการควบคุมอารมณ์
ต่อไปนี้ เราจะอธิบายถึงวิธีการประยุกต์ใช้หลักการทั้ง 3 ข้อนี้อย่างเป็นรูปธรรม เพื่อช่วยให้คุณสามารถแก้ปัญหาการขาดทุนได้อย่างยั่งยืน
การวางแผนและกำหนดกลยุทธ์การเทรดที่ชัดเจน
การเทรดโดยไร้แผนที่ชัดเจนเปรียบเสมือนการเดินทางโดยไม่มีแผนที่ การวางแผนที่ดีจะช่วยลดการตัดสินใจด้วยอารมณ์และเพิ่มโอกาสประสบความสำเร็จ
“คุณอาจรู้สึกว่าได้ศึกษาข้อมูลมามากแล้ว แต่ยังขาดทุนบ่อย” นี่เป็นเพราะการขาดแผนการเทรดที่เป็นระบบ
แผนการเทรดที่ดีควรประกอบด้วยองค์ประกอบต่อไปนี้:
-
กำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนและวัดผลได้
ตั้งเป้าหมายผลตอบแทนที่เป็นไปได้จริง เช่น 1-2% ต่อเดือน แทนการตั้งเป้าหมายที่สูงเกินจริงอย่าง 100% ต่อเดือน การตั้งเป้าหมายที่สมเหตุสมผลจะช่วยลดความเสี่ยงจากการเทรดที่มากเกินไป
-
เลือกกลยุทธ์ที่เหมาะกับตารางเวลาของคุณ
หากมีเวลาจำกัด ควรเลือกการเทรดรายวันหรือรายสัปดาห์ แทนการเทรดระยะสั้น ซึ่งต้องติดตามตลาดตลอดเวลา สำคัญที่สุดคือต้องเลือกกลยุทธ์ที่สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของคุณ
-
สร้างระบบการเข้าและออกที่ชัดเจน
กำหนดจุดเข้าและออกโดยใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคที่เข้าใจง่าย เช่น แนวรับแนวต้าน หรือค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ อย่าเปลี่ยนระบบบ่อยเกินไป ให้เวลากับระบบในการพิสูจน์ตัวเอง
-
จดบันทึกการเทรดอย่างละเอียด
บันทึกทุกการเทรด ทั้งที่กำไรและขาดทุน พร้อมเหตุผลในการตัดสินใจ อารมณ์ขณะเทรด และบทเรียนที่ได้รับ การทบทวนบันทึกจะช่วยให้เห็นข้อผิดพลาดและโอกาสในการพัฒนา
การจัดการความเสี่ยงด้วย Stop Loss และ Take Profit
การจัดการความเสี่ยงที่ดีคือหัวใจของการเทรดที่ยั่งยืน จากการศึกษาพบว่า เทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จใช้เวลา 80% ในการวางแผนจัดการความเสี่ยง
“การขาดทุนครั้งใหญ่เพียงครั้งเดียวอาจทำลายกำไรที่สะสมมาหลายเดือน” นี่คือเหตุผลที่การใช้ Stop Loss และ Take Profit อย่างเป็นระบบมีความสำคัญ
หลักการจัดการความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ:
-
กำหนด Stop Loss ทุกครั้งก่อนเข้าเทรด
วางจุด Stop Loss ที่ระดับขาดทุนไม่เกิน 2% ของพอร์ตการลงทุน และต้องวางคำสั่งทันทีที่เข้าเทรด อย่าเลื่อน Stop Loss เพื่อให้ขาดทุนมากขึ้น เพราะนี่คือสาเหตุหลักของการขาดทุนครั้งใหญ่
-
ตั้ง Take Profit ที่สมเหตุสมผล
กำหนดเป้าหมายกำไรที่เป็นไปได้จริง โดยพิจารณาจากแนวต้านที่สำคัญหรืออัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทนที่อย่างน้อย 1:2 หมายถึงถ้ายอมรับความเสี่ยงขาดทุน 1% ต้องตั้งเป้ากำไรอย่างน้อย 2%
-
จำกัดการเสี่ยงรายวัน
กำหนดขีดจำกัดการขาดทุนต่อวันไว้ที่ 5% ของพอร์ต เมื่อถึงขีดจำกัดให้หยุดเทรดทันที เพื่อป้องกันการตัดสินใจด้วยอารมณ์ที่จะนำไปสู่การขาดทุนที่มากขึ้น
การควบคุมจิตวิทยาและอารมณ์ระหว่างเทรด
อารมณ์เป็นศัตรูตัวสำคัญของเทรดเดอร์ การศึกษาพบว่า การขาดทุนมีสาเหตุมาจากการตัดสินใจด้วยอารมณ์
“คุณอาจเคยรู้สึกอยากแก้มือเมื่อขาดทุน หรือเทรดเกินขนาดเมื่อกำไร” นี่คือตัวอย่างของการตัดสินใจด้วยอารมณ์ที่มักนำไปสู่การขาดทุนที่มากขึ้น
วิธีควบคุมอารมณ์ระหว่างการเทรด:
-
สร้างกรอบความคิดที่ถูกต้อง
มองการเทรดเป็นธุรกิจ ไม่ใช่การพนัน เข้าใจว่าการขาดทุนเป็นส่วนหนึ่งของการเทรด ไม่มีใครชนะ 100% แต่สำคัญที่การจำกัดการขาดทุนและปล่อยให้กำไรวิ่งต่อ
-
พักการเทรดเมื่อมีอารมณ์รุนแรง
เมื่อรู้สึกโกรธ กลัว หรือโลภมากเกินไป ให้หยุดเทรดทันที พักสมองและร่างกายให้กลับสู่ภาวะปกติก่อนกลับมาเทรดใหม่ การเทรดด้วยอารมณ์มักนำไปสู่การตัดสินใจที่ผิดพลาด
-
ทำสมาธิก่อนเริ่มเทรด
ใช้เวลา 5-10 นาทีในการทำสมาธิหรือหายใจลึกๆ ก่อนเริ่มเทรด เพื่อให้จิตใจสงบและมีสติในการตัดสินใจ การมีจิตใจที่สงบจะช่วยให้วิเคราะห์ตลาดได้แม่นยำขึ้น
ระบบเทรดที่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนแต่ละประเภท
ระบบเทรดที่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนแต่ละประเภท
การสร้างระบบเทรดที่เหมาะกับตัวเองเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จในการลงทุน
จากประสบการณ์ของผู้เขียน พบว่านักลงทุนส่วนใหญ่มักล้มเหลวเพราะพยายามเลียนแบบระบบของคนอื่นโดยไม่คำนึงถึงสถานการณ์และข้อจำกัดของตนเอง
ในส่วนนี้ เราจะแนะนำวิธีการสร้างและปรับแต่งระบบเทรดให้เหมาะกับรูปแบบการใช้ชีวิตและเป้าหมายการลงทุนของคุณ
การวิเคราะห์แนวโน้มตลาดสำหรับผู้มีเวลาจำกัด
“จะทำอย่างไรเมื่อต้องเทรดไปพร้อมกับการทำงานประจำ” นี่คือคำถามที่นักลงทุนหลายคนกังวล
ความจริงแล้ว การมีเวลาจำกัดอาจเป็นข้อดีที่ช่วยให้คุณหลีกเลี่ยงการเทรดถี่เกินไปซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการขาดทุน
สำหรับผู้มีเวลาจำกัด ผู้เขียนขอแนะนำระบบการเทรดตามแนวโน้มหลัก ด้วยวิธีการดังนี้:
-
วิเคราะห์กราฟรายสัปดาห์แทนรายวัน
การดูกราฟรายสัปดาห์จะช่วยให้เห็นแนวโน้มหลักได้ชัดเจนกว่า และใช้เวลาวิเคราะห์น้อยกว่า เน้นการหาจุดกลับตัวของเทรนด์หลักแทนการเทรดระยะสั้น
-
ใช้เครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคที่เรียบง่าย
แนะนำให้ใช้เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 20 และ 50 สัปดาห์ ร่วมกับเส้นแนวโน้มและแนวรับแนวต้านหลัก ไม่จำเป็นต้องใช้อินดิเคเตอร์ซับซ้อน
-
ตั้งการแจ้งเตือนราคาอัตโนมัติ
ใช้แอปพลิเคชันที่สามารถตั้งการแจ้งเตือนเมื่อราคาถึงจุดสำคัญ ช่วยให้ไม่ต้องจ้องหน้าจอตลอดเวลา
-
วางแผนเทรดล่วงหน้าในวันหยุด
ใช้เวลาในวันหยุดสุดสัปดาห์วิเคราะห์ตลาดและวางแผนการเทรดสำหรับสัปดาห์ถัดไป กำหนดจุดเข้า-ออก และขนาดการลงทุนไว้ล่วงหน้า
การทดสอบกลยุทธ์ด้วยบัญชีทดลอง
การทดสอบกลยุทธ์เป็นขั้นตอนที่สำคัญมากก่อนใช้เงินจริง แต่หลายคนมักข้ามขั้นตอนนี้เพราะอยากรีบเห็นผลกำไร
ผู้เขียนขอแนะนำวิธีการทดสอบกลยุทธ์อย่างเป็นระบบดังนี้:
-
เริ่มจากการทดสอบย้อนหลัง
นำกลยุทธ์ที่คิดไว้มาทดสอบกับข้อมูลราคาย้อนหลัง บันทึกผลการเทรดทุกครั้งในสเปรดชีต พร้อมเหตุผลการเข้า-ออก
-
ทดสอบในบัญชีทดลองอย่างน้อย 3 เดือน
ใช้บัญชีทดลองเทรดเสมือนจริง ตั้งเป้าหมายกำไรและจำกัดการขาดทุนเหมือนใช้เงินจริง บันทึกผลและอารมณ์ระหว่างเทรดอย่างละเอียด
-
วิเคราะห์ผลการทดสอบอย่างละเอียด
ประเมินอัตราการชนะ ขนาดกำไร-ขาดทุนเฉลี่ย และช่วงเวลาที่กลยุทธ์ทำงานได้ดี ปรับปรุงกลยุทธ์จากข้อมูลที่ได้
การปรับแผนการลงทุนตามสถานการณ์และข้อมูลเศรษฐกิจ
ตลาดการเงินไม่หยุดนิ่ง การยึดติดกับกลยุทธ์เดิมโดยไม่ปรับเปลี่ยนอาจนำไปสู่การขาดทุน
ต่อไปนี้คือแนวทางการปรับแผนการลงทุนให้ทันต่อสถานการณ์:
-
ติดตามปฏิทินเศรษฐกิจ
สร้างนิสัยตรวจสอบปฏิทินเศรษฐกิจทุกสัปดาห์ ระบุช่วงเวลาที่มีการประกาศข้อมูลสำคัญ และหลีกเลี่ยงการเทรดในช่วงนั้นหากไม่มั่นใจ
-
ปรับขนาดการลงทุนตามความผันผวน
ในช่วงที่ตลาดผันผวนสูง ให้ลดขนาดการลงทุนลง 30-50% จากปกติ เพิ่มขนาดการลงทุนกลับเมื่อตลาดกลับมามีเสถียรภาพ
-
มีแผนสำรองรับมือเหตุการณ์ไม่คาดคิด
เตรียมแผนรับมือกรณีเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด เช่น การหยุดทำการของตลาด หรือความผิดปกติของระบบซื้อขาย กำหนดจุดตัดขาดทุนฉุกเฉินไว้เสมอ
เมื่อเข้าใจวิธีการปรับแผนการลงทุนแล้ว มาดูตัวอย่างการนำไปใช้จริง:
-
การปรับกลยุทธ์ตามช่วงเวลา
แบ่งช่วงเวลาการเทรดเป็น 3 ช่วง: ก่อนตลาดเปิด ระหว่างวัน และหลังตลาดปิด แต่ละช่วงควรมีกลยุทธ์ที่แตกต่างกัน เช่น ช่วงเช้าเน้นการวิเคราะห์ข่าวและวางแผน ช่วงกลางวันเน้นการติดตามสัญญาณเข้า-ออก
-
การประเมินผลและปรับแผนรายเดือน
ทำการประเมินผลการเทรดเป็นประจำทุกเดือน วิเคราะห์ว่ากลยุทธ์ใดทำกำไรได้ดี กลยุทธ์ใดควรปรับปรุง ปรับเปลี่ยนแผนการลงทุนตามผลการวิเคราะห์
-
การจัดการพอร์ตในภาวะวิกฤต
กำหนดเกณฑ์ที่ชัดเจนสำหรับการลดความเสี่ยงในภาวะวิกฤต เช่น เมื่อดัชนีความผันผวนเกิน 30 ให้ลดขนาดการลงทุนลงครึ่งหนึ่ง หรือเมื่อพอร์ตขาดทุนเกิน 10% ให้หยุดเทรดชั่วคราวและทบทวนกลยุทธ์
-
การใช้ข้อมูลพื้นฐานประกอบการตัดสินใจ
ไม่ควรพึ่งพาการวิเคราะห์ทางเทคนิคเพียงอย่างเดียว ให้ติดตามปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญ เช่น ทิศทางอัตราดอกเบี้ย นโยบายการเงิน และสภาพเศรษฐกิจโดยรวม ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยยืนยันสัญญาณทางเทคนิค
-
การสร้างระบบแจ้งเตือนอัตโนมัติ
ใช้เทคโนโลยีช่วยในการติดตามตลาด ตั้งการแจ้งเตือนสำหรับเหตุการณ์สำคัญ เช่น ราคาทะลุแนวรับแนวต้าน การประกาศตัวเลขเศรษฐกิจ หรือความผิดปกติของปริมาณการซื้อขาย
การปรับแผนการลงทุนไม่ใช่การเปลี่ยนกลยุทธ์ไปมาตามอารมณ์ แต่เป็นการปรับเปลี่ยนอย่างมีระบบบนพื้นฐานของข้อมูลและการวิเคราะห์ที่รอบคอบ การมีแผนที่ยืดหยุ่นและพร้อมปรับเปลี่ยนจะช่วยให้คุณรับมือกับความผันผวนของตลาดได้ดีขึ้น
สรุป: การแก้ปัญหาการเทรดเริ่มต้นที่การเข้าใจตัวเองและมีระบบที่เหมาะสม
ในครั้งนี้ เราได้พูดถึงผู้ที่กำลังประสบปัญหาขาดทุนจากการเทรดและต้องการแก้ไขสถานการณ์ โดยได้กล่าวถึง
- สาเหตุที่นักลงทุนมือใหม่มักประสบปัญหาขาดทุน
- หลักการสำคัญในการแก้ไขปัญหาการขาดทุน
- วิธีการสร้างและปรับแต่งระบบเทรดให้เหมาะกับตัวเอง
โดยผู้เขียนได้แบ่งปันประสบการณ์จริงจากการเทรด Forex มากกว่า 10 ปี
ความสำเร็จในการเทรดไม่ได้ขึ้นอยู่กับการมีความรู้หรือเทคนิคมากมาย แต่อยู่ที่การมีระบบที่เหมาะกับตัวเองและการควบคุมอารมณ์ได้ดี จากข้อมูลพบว่า นักลงทุนรายย่อยประสบปัญหาขาดทุนในปีแรก โดยสาเหตุหลักมาจากการไม่มีแผนที่ชัดเจนและการตัดสินใจด้วยอารมณ์
การขาดทุนจากการเทรดไม่ใช่เรื่องน่าอาย แต่เป็นบทเรียนที่มีค่าที่จะช่วยให้ผู้ที่เทรดเข้าใจตัวเองมากขึ้น ผู้เขียนเชื่อว่าทุกคนสามารถประสบความสำเร็จได้หากมีระบบที่เหมาะสมและฝึกฝนอย่างมีวินัย
ผู้ที่กำลังเริ่มต้นเทรดอาจรู้สึกสับสนกับข้อมูลมากมายที่มีอยู่ในอินเทอร์เน็ต และไม่รู้ว่าควรเชื่อใครดี นี่เป็นความรู้สึกที่เข้าใจได้ และเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่จะเรียนรู้การสร้างระบบของตัวเอง
สำหรับผู้ที่กำลังขาดทุนและรู้สึกท้อแท้ ขอให้เข้าใจว่าการขาดทุนเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้ ไม่มีใครประสบความสำเร็จได้โดยไม่เคยผ่านความล้มเหลว
ลองเริ่มต้นใหม่ด้วยการทดสอบระบบในบัญชีทดลองก่อน และค่อย ๆ พัฒนาระบบที่เหมาะกับตัวเอง ผู้เขียนเชื่อว่าความสำเร็จในการเทรดเป็นเรื่องที่เป็นไปได้สำหรับทุกคน!
ความคิดเห็น