สำหรับผู้ที่เพิ่งเริ่มต้นเทรดและพบว่าตนเองกำลังขาดทุน
“ทำไมถึงขาดทุนทั้งที่ศึกษามาตั้งเยอะ แบบนี้เราคงไม่เหมาะกับการเทรดจริง ๆ…”
“กลัวว่าจะสูญเสียเงินออมที่เหลือจากการเทรดที่ผิดพลาด…”
อาจมีบางคนที่มีความกังวลเช่นนี้
การขาดทุนในช่วงแรกเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้กับเทรดเดอร์ทุกคน สิ่งสำคัญคือการรู้จักประเมินผลการเทรดอย่างถูกวิธี เพื่อค้นหาจุดที่ต้องปรับปรุงและพัฒนาตนเอง
จากประสบการณ์เทรด Forex มากกว่า 10 ปี ผู้เขียนพบว่าการประเมินผลการเทรดที่ถูกต้องไม่ได้ดูแค่กำไรขาดทุน แต่ต้องวิเคราะห์ทั้งระบบอย่างเป็นขั้นตอน
ในบทความนี้ เราจะอธิบายเกี่ยวกับการพัฒนาความสามารถในการเทรด
- 3 ปัจจัยหลักในการวัดผลการเทรดอย่างเป็นระบบ
- วิธีประเมินประสิทธิภาพการเทรดด้วยสถิติ
- การพัฒนาระบบบันทึกและวิเคราะห์การเทรด
โดยผู้เขียนจะแบ่งปันประสบการณ์จริงและเทคนิคที่ได้เรียนรู้มาตลอด 10 ปีในการเทรด
ไม่ว่าจะเพิ่งเริ่มต้นเทรดหรือมีประสบการณ์มาบ้างแล้ว การเรียนรู้วิธีประเมินผลการเทรดที่ถูกต้องจะช่วยให้เห็นจุดแข็งจุดอ่อนและพัฒนาตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ โปรดใช้บทความนี้เป็นแนวทางในการพัฒนาความสามารถในการเทรดของคุณ!
3 ปัจจัยหลักในการวัดผลการเทรดอย่างเป็นระบบ
3 ปัจจัยหลักในการวัดผลการเทรดอย่างเป็นระบบ
การประเมินผลการเทรดที่มีประสิทธิภาพต้องพิจารณาจากปัจจัยหลัก 3 ประการที่สัมพันธ์กัน ได้แก่ อัตราส่วนผลตอบแทนต่อความเสี่ยง อัตราการชนะ และการวิเคราะห์ขาดทุนสะสมสูงสุด
ปัจจัยเหล่านี้ทำงานร่วมกันเพื่อสร้างภาพรวมที่ชัดเจนของประสิทธิภาพการเทรด โดยไม่ได้พึ่งพาเพียงกำไรขาดทุนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความสามารถในการจัดการความเสี่ยงและความสม่ำเสมอของผลลัพธ์
มาดูรายละเอียดของแต่ละปัจจัยกันดังนี้
อัตราส่วนผลตอบแทนต่อความเสี่ยงที่เหมาะสม
อัตราส่วนผลตอบแทนต่อความเสี่ยง (Risk/Reward Ratio) เป็นเครื่องมือสำคัญในการวัดประสิทธิภาพการเทรด เพราะแสดงให้เห็นว่าเรากำลังเสี่ยงเงิน 1 ส่วนเพื่อโอกาสได้กำไรกี่ส่วน
“เทรดเดอร์หลายคนมักมองข้ามความสำคัญของอัตราส่วนนี้ แล้วเน้นแต่การหากำไรอย่างเดียว”
-
การคำนวณอัตราส่วนผลตอบแทนต่อความเสี่ยง
สูตรคำนวณ = กำไรที่คาดหวัง ÷ ความเสี่ยงที่ยอมรับได้ เช่น ถ้าตั้งจุดตัดขาดทุนไว้ที่ 100 บาท และตั้งเป้ากำไรที่ 200 บาท อัตราส่วนจะเท่ากับ 1:2
-
อัตราส่วนที่เหมาะสมสำหรับเทรดเดอร์มือใหม่
จากการศึกษาของ Van Tharp Institute แนะนำให้เริ่มต้นด้วยอัตราส่วน 1:2 หรือดีกว่า ซึ่งหมายความว่าทุก ๆ การเทรด ควรมีโอกาสได้กำไรเป็น 2 เท่าของความเสี่ยงที่อาจขาดทุน
-
การปรับอัตราส่วนตามสไตล์การเทรด
เทรดเดอร์ที่เน้นการเทรดระยะสั้นอาจใช้อัตราส่วน 1:1.5 เนื่องจากมีโอกาสทำกำไรบ่อยครั้ง ในขณะที่การเทรดระยะยาวควรใช้อัตราส่วน 1:3 ขึ้นไปเพื่อชดเชยโอกาสที่น้อยลง
อัตราการชนะและการจัดการขนาดการลงทุน
อัตราการชนะ (Win Rate) และการจัดการขนาดการลงทุน (Position Sizing) เป็นองค์ประกอบที่สำคัญไม่แพ้กัน เพราะแม้จะมีอัตราส่วนผลตอบแทนต่อความเสี่ยงที่ดี แต่ถ้าชนะน้อยเกินไปหรือลงทุนมากเกินไป ก็อาจนำไปสู่การขาดทุนได้
-
อัตราการชนะที่ยอมรับได้
ตามหลักการบริหารความเสี่ยง อัตราการชนะที่ 40-50% ก็เพียงพอที่จะทำกำไรได้ หากมีอัตราส่วนผลตอบแทนต่อความเสี่ยงที่ดี เช่น ชนะ 4 ครั้งได้กำไรครั้งละ 200 แต่แพ้ 6 ครั้งขาดทุนครั้งละ 100 สุดท้ายก็ยังมีกำไร
-
การคำนวณขนาดการลงทุนที่เหมาะสม
ขนาดการลงทุนต่อครั้งไม่ควรเกิน 2% ของเงินทุนทั้งหมด เพื่อป้องกันการขาดทุนที่รุนแรงจนเกินไป เช่น มีเงินทุน 100,000 บาท ควรเสี่ยงไม่เกิน 2,000 บาทต่อการเทรดหนึ่งครั้ง
-
การปรับขนาดการลงทุนตามผลการเทรด
เมื่อพอร์ตมีกำไรสะสม อาจเพิ่มขนาดการลงทุนได้ แต่ยังคงต้องรักษาสัดส่วนไม่เกิน 2% ของพอร์ตปัจจุบัน และควรลดขนาดลงทันทีหากเริ่มมีการขาดทุนต่อเนื่อง
การวิเคราะห์ขาดทุนสะสมสูงสุดเพื่อควบคุมความเสี่ยง
การวิเคราะห์ขาดทุนสะสมสูงสุด (Maximum Drawdown) เป็นเครื่องมือสำคัญในการประเมินความเสี่ยงของระบบเทรด เพราะช่วยให้เห็นภาพว่าในช่วงที่แย่ที่สุด เราอาจขาดทุนมากแค่ไหน
“เทรดเดอร์มือใหม่มักตกใจเมื่อเจอการขาดทุนสะสม แล้วเลิกใช้ระบบเทรดที่ดีไปเสียก่อน”
-
การคำนวณขาดทุนสะสมสูงสุด
คำนวณจากจุดสูงสุดของพอร์ตถึงจุดต่ำสุดในช่วงเวลาหนึ่ง เช่น พอร์ตเคยขึ้นไปถึง 120,000 บาท แล้วลงมาต่ำสุดที่ 90,000 บาท คิดเป็นขาดทุนสะสมสูงสุด 25%
-
การกำหนดขีดจำกัดขาดทุนสะสม
ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้กำหนดขีดจำกัดขาดทุนสะสมไว้ที่ 20-30% ของพอร์ต หากเกินกว่านี้ควรหยุดเทรดชั่วคราวและทบทวนระบบ เพราะอาจมีปัญหาในการจัดการความเสี่ยง
-
การใช้ข้อมูลขาดทุนสะสมในการปรับปรุงระบบ
วิเคราะห์ช่วงเวลาที่เกิดการขาดทุนสะสมว่าเกิดจากสาเหตุใด เช่น สภาวะตลาดที่ผันผวน การเทรดผิดระบบ หรือการจัดการความเสี่ยงที่ไม่ดี เพื่อนำมาปรับปรุงระบบเทรดให้ดีขึ้น
วิธีประเมินประสิทธิภาพการเทรดด้วยสถิติ
วิธีประเมินประสิทธิภาพการเทรดด้วยสถิติ
การประเมินผลการเทรดด้วยตัวชี้วัดทางสถิติเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยให้เข้าใจประสิทธิภาพการเทรดของตนเองได้อย่างเป็นรูปธรรม
หลายคนมักประเมินผลการเทรดจากกำไรขาดทุนเพียงอย่างเดียว แต่การใช้สถิติจะช่วยให้เห็นภาพรวมที่ชัดเจนกว่า ทั้งในแง่ความสม่ำเสมอของผลตอบแทน ความเสี่ยง และโอกาสในการทำกำไรระยะยาว
ในส่วนนี้ ผู้เขียนจะอธิบายวิธีการคำนวณและการประยุกต์ใช้ตัวชี้วัดทางสถิติที่สำคัญในการประเมินผลการเทรด
การคำนวณกำไรเฉลี่ยและความผันผวน
การวัดผลตอบแทนเฉลี่ยและความผันผวนเป็นพื้นฐานสำคัญในการประเมินประสิทธิภาพการเทรด
“การเทรดที่ดีไม่ใช่แค่ทำกำไรได้มาก แต่ต้องมีความสม่ำเสมอด้วย”
-
ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อการเทรด (Average Trade Return)
คำนวณโดยนำผลรวมของกำไรขาดทุนทั้งหมดหารด้วยจำนวนการเทรด ตัวเลขนี้จะบอกว่าโดยเฉลี่ยแล้วเราทำกำไรได้เท่าไรต่อการเทรดหนึ่งครั้ง
-
ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของผลตอบแทน (Standard Deviation)
วัดการกระจายตัวของผลตอบแทน บอกถึงความผันผวนของการเทรด ยิ่งค่านี้ต่ำยิ่งดี เพราะแสดงถึงความสม่ำเสมอของผลตอบแทน
-
อัตราส่วนกำไรต่อความผันผวน (Return/Volatility Ratio)
คำนวณโดยนำผลตอบแทนเฉลี่ยหารด้วยส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ยิ่งค่านี้สูงยิ่งดี เพราะแสดงถึงความสามารถในการทำกำไรที่สม่ำเสมอ
ตามมาตรฐานสากล เทรดเดอร์มืออาชีพควรมีอัตราส่วนกำไรต่อความผันผวนอย่างน้อย 0.5 และพยายามรักษาส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานไม่ให้เกิน 2 เท่าของผลตอบแทนเฉลี่ย
การวัดความสามารถในการทำกำไรระยะยาว
ความสำเร็จในการเทรดไม่ได้วัดจากกำไรระยะสั้น แต่ต้องดูความสามารถในการทำกำไรอย่างต่อเนื่องในระยะยาว
-
อัตราการทำกำไรสะสม (Cumulative Return)
แสดงผลตอบแทนรวมตั้งแต่เริ่มต้นเทรด ควรมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอ หากกราฟมีความผันผวนสูงหรือลดลงต่อเนื่อง แสดงว่าต้องปรับปรุงกลยุทธ์
-
ดัชนีความสามารถในการฟื้นตัว (Recovery Factor)
คำนวณจากกำไรสุทธิหารด้วยขาดทุนสะสมสูงสุด ค่าที่มากกว่า 3 ถือว่าดี แสดงถึงความสามารถในการฟื้นตัวจากการขาดทุน
-
ระยะเวลาคืนทุนสูงสุด (Maximum Drawdown Duration)
วัดระยะเวลาที่ใช้ในการกลับมาทำกำไรสูงสุดใหม่หลังจากขาดทุน เทรดเดอร์มืออาชีพควรมีระยะเวลาคืนทุนไม่เกิน 12 เดือน
ในการประเมินความสามารถระยะยาว ควรวิเคราะห์ข้อมูลอย่างน้อย 6 เดือนขึ้นไป เพื่อให้เห็นแนวโน้มที่แท้จริง
การใช้ Profit Factor และ Sharpe Ratio
Profit Factor และ Sharpe Ratio เป็นตัวชี้วัดมาตรฐานที่ใช้ในการประเมินคุณภาพของระบบเทรด
-
Profit Factor
คำนวณจากผลรวมของกำไรทั้งหมดหารด้วยผลรวมของการขาดทุนทั้งหมด ค่าที่มากกว่า 1.5 ถือว่าดี แสดงถึงระบบเทรดที่มีประสิทธิภาพ ค่าที่ต่ำกว่า 1.3 บ่งชี้ว่าควรปรับปรุงกลยุทธ์
-
Sharpe Ratio
วัดผลตอบแทนส่วนเกินต่อความเสี่ยง ค่าที่มากกว่า 1 ถือว่ายอมรับได้ และมากกว่า 2 ถือว่าดีมาก สูตรคำนวณคือ (ผลตอบแทนเฉลี่ย – อัตราผลตอบแทนที่ปราศจากความเสี่ยง) / ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของผลตอบแทน
-
การแปลผลร่วมกัน
ควรพิจารณา Profit Factor และ Sharpe Ratio ร่วมกัน หากทั้งสองค่าสูง แสดงว่าระบบเทรดมีประสิทธิภาพและความเสี่ยงที่เหมาะสม แต่หากค่าใดค่าหนึ่งต่ำ อาจต้องปรับปรุงกลยุทธ์
เทรดเดอร์มืออาชีพมักตั้งเป้าหมาย Profit Factor ไว้ที่ 1.5-2.0 และ Sharpe Ratio ที่ 1.5-2.0 เพื่อสร้างผลตอบแทนที่สม่ำเสมอในระยะยาว
การพัฒนาระบบบันทึกและวิเคราะห์การเทรด
การพัฒนาระบบบันทึกและวิเคราะห์การเทรด
การบันทึกและวิเคราะห์การเทรดอย่างเป็นระบบเป็นกุญแจสำคัญสู่การพัฒนาตนเองเป็นเทรดเดอร์มืออาชีพ
การศึกษาพบว่าเทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จ มีการจดบันทึกและวิเคราะห์การเทรดอย่างสม่ำเสมอ ทำให้สามารถเรียนรู้จากประสบการณ์และปรับปรุงกลยุทธ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ในส่วนนี้ เราจะอธิบายวิธีการพัฒนาระบบบันทึกและวิเคราะห์การเทรดที่เหมาะกับรูปแบบการเทรดของคุณ
หลักการจดบันทึกการเทรดอย่างมีประสิทธิภาพ
การจดบันทึกการเทรดที่มีประสิทธิภาพไม่ใช่แค่การบันทึกกำไรขาดทุน แต่ต้องครอบคลุมข้อมูลสำคัญที่จะช่วยในการวิเคราะห์และพัฒนาการเทรดของคุณ
“คุณอาจรู้สึกว่าการจดบันทึกเป็นเรื่องยุ่งยากและเสียเวลา” แต่การบันทึกที่ดีจะช่วยให้คุณเห็นแพทเทิร์นของความสำเร็จและข้อผิดพลาดได้ชัดเจนขึ้น
องค์ประกอบสำคัญที่ควรบันทึกมีดังนี้:
-
ข้อมูลพื้นฐานของการเทรด
วันที่และเวลา สินทรัพย์ที่เทรด ประเภทของคำสั่งซื้อขาย (Long/Short) จุดเข้า-ออก ขนาดการลงทุน และผลกำไรขาดทุน ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้คุณเห็นภาพรวมของการเทรดแต่ละครั้ง
-
เหตุผลในการเข้าเทรด
บันทึกเหตุผลที่คุณตัดสินใจเข้าเทรด เช่น การวิเคราะห์ทางเทคนิค ปัจจัยพื้นฐาน หรือสัญญาณจากระบบเทรดของคุณ ข้อมูลนี้จะช่วยให้คุณประเมินคุณภาพของการตัดสินใจได้
-
สภาวะตลาดและอารมณ์
บันทึกสภาพตลาดขณะเทรด เช่น ความผันผวน แนวโน้ม และข่าวสำคัญ รวมถึงสภาวะทางอารมณ์ของคุณ เช่น มั่นใจ กังวล หรือกลัว ข้อมูลนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจผลกระทบของปัจจัยภายนอกและภายในต่อการตัดสินใจ
การวิเคราะห์จุดแข็งจุดอ่อนจากบันทึกการเทรด
การวิเคราะห์บันทึกการเทรดอย่างเป็นระบบจะช่วยให้คุณค้นพบรูปแบบความสำเร็จและข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ
“คุณอาจสังเกตเห็นว่าบางช่วงเวลาหรือบางสภาวะตลาด คุณมักจะทำกำไรได้ดีกว่าปกติ” การวิเคราะห์จะช่วยให้คุณเข้าใจว่าเพราะอะไร
วิธีการวิเคราะห์บันทึกการเทรดมีดังนี้:
-
วิเคราะห์ตามช่วงเวลา
แยกการเทรดตามช่วงเวลาต่าง ๆ เช่น เช้า-บ่าย หรือตามวันในสัปดาห์ หาความสัมพันธ์ระหว่างช่วงเวลากับผลการเทรด บางคนอาจพบว่าเทรดได้ดีในช่วงเช้ามากกว่าช่วงบ่าย
-
วิเคราะห์ตามสภาวะตลาด
จัดกลุ่มการเทรดตามสภาวะตลาด เช่น ตลาดแนวโน้ม ตลาดผันผวน หรือตลาดซึมเซา ดูว่าคุณทำกำไรได้ดีในสภาวะใด หลายคนพบว่าตนเองถนัดเทรดในตลาดที่มีแนวโน้มชัดเจน
-
วิเคราะห์ตามสภาวะอารมณ์
พิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างสภาวะอารมณ์กับผลการเทรด อาจพบว่าเมื่อเทรดด้วยความกังวลมักนำไปสู่การตัดสินใจที่ผิดพลาด
การปรับปรุงกลยุทธ์การเทรดจากผลการวิเคราะห์
การวิเคราะห์บันทึกการเทรดไม่มีประโยชน์หากไม่นำไปสู่การปรับปรุงระบบเทรดของคุณ
“การเห็นข้อผิดพลาดซ้ำ ๆ อาจทำให้คุณรู้สึกท้อแท้” แต่นี่คือโอกาสในการพัฒนาตนเอง
ขั้นตอนการปรับปรุงกลยุทธ์การเทรดมีดังนี้:
-
กำหนดจุดที่ต้องปรับปรุง
จากผลการวิเคราะห์ ระบุปัญหาหลักที่ทำให้เกิดการขาดทุน เช่น การเข้าเทรดเร็วเกินไป การถือสถานะนานเกินไป หรือการใช้ขนาดการลงทุนที่ใหญ่เกินไป
-
สร้างแผนการปรับปรุง
กำหนดวิธีการแก้ไขปัญหาที่พบ เช่น การสร้างเช็คลิสต์ก่อนเข้าเทรด การตั้งเป้าหมายกำไรที่ชัดเจน หรือการปรับขนาดการลงทุนให้เหมาะสม
-
ทดสอบและประเมินผล
นำแผนการปรับปรุงไปทดลองใช้ในการเทรดจริง บันทึกและวิเคราะห์ผลลัพธ์เพื่อดูว่าการเปลี่ยนแปลงสร้างผลลัพธ์ที่ดีขึ้นหรือไม่
-
ติดตามความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง
สร้างระบบติดตามผลการปรับปรุงที่ชัดเจน เช่น กราฟแสดงอัตราการชนะ อัตราผลตอบแทนต่อความเสี่ยง หรือการขาดทุนสะสม การเห็นความก้าวหน้าจะช่วยสร้างแรงจูงใจในการพัฒนาต่อไป
-
ปรับแผนตามสถานการณ์
ตลาดการเงินมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ทบทวนและปรับแผนการเทรดทุก 3-6 เดือน หรือเมื่อสภาวะตลาดเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ การปรับตัวให้เข้ากับสภาวะตลาดเป็นทักษะสำคัญของเทรดเดอร์มืออาชีพ
-
เรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญ
แลกเปลี่ยนประสบการณ์กับเทรดเดอร์คนอื่น ๆ หรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ บางครั้งมุมมองจากภายนอกอาจช่วยให้คุณเห็นจุดบอดที่ไม่เคยสังเกตมาก่อน
การปรับปรุงกลยุทธ์การเทรดเป็นกระบวนการที่ต้องทำอย่างต่อเนื่องและใช้เวลา จากการศึกษาของสถาบัน Market Wizards พบว่าเทรดเดอร์มืออาชีพใช้เวลาเฉลี่ย 2-3 ปีในการพัฒนาระบบเทรดที่มีประสิทธิภาพ
ความสำเร็จในการเทรดไม่ได้วัดที่จำนวนกำไรในระยะสั้น แต่อยู่ที่การพัฒนาอย่างต่อเนื่องและมีระบบ การมีระบบบันทึกและวิเคราะห์การเทรดที่ดีจะช่วยให้คุณเห็นพัฒนาการของตนเองและมีเป้าหมายในการปรับปรุงที่ชัดเจน
ตัวอย่างเช่น เทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จรายหนึ่งเริ่มต้นจากการขาดทุน 30% ในช่วง 6 เดือนแรก แต่หลังจากพัฒนาระบบบันทึกและวิเคราะห์การเทรดอย่างจริงจัง เขาสามารถค้นพบว่าตนเองมักทำกำไรได้ดีในช่วงเช้าและในตลาดที่มีแนวโน้มชัดเจน การปรับกลยุทธ์ให้เน้นเทรดในช่วงเวลาและสภาวะตลาดที่เหมาะสม ทำให้เขาสามารถพลิกมาทำกำไรได้อย่างสม่ำเสมอในที่สุด
สรุป: การประเมินผลการเทรดที่ถูกต้องคือกุญแจสู่ความสำเร็จ
ในครั้งนี้ เราได้พูดถึงผู้ที่กำลังเริ่มต้นเทรดและต้องการพัฒนาตนเองให้เป็นเทรดเดอร์มืออาชีพ
- 3 ปัจจัยหลักในการวัดผลการเทรดอย่างเป็นระบบ
- วิธีประเมินประสิทธิภาพการเทรดด้วยสถิติ
- การพัฒนาระบบบันทึกและวิเคราะห์การเทรด
โดยผู้เขียนได้แบ่งปันประสบการณ์จากการเทรด Forex มากกว่า 10 ปี
การขาดทุนในช่วงแรกเป็นเรื่องปกติ แต่สิ่งสำคัญคือการรู้จักประเมินผลการเทรดอย่างถูกต้องเพื่อพัฒนาตนเอง เพราะหากประเมินผิดวิธี อาจนำไปสู่การตัดสินใจที่ผิดพลาดและขาดทุนมากขึ้น
การเริ่มต้นด้วยการจดบันทึกและวิเคราะห์การเทรดอย่างเป็นระบบจะช่วยให้ผู้ที่เพิ่งเริ่มต้นเทรดสามารถค้นพบจุดแข็งจุดอ่อนและพัฒนาเป็นเทรดเดอร์มืออาชีพได้
แม้ว่าในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา การเทรดของคุณอาจยังไม่ประสบความสำเร็จ แต่นี่เป็นโอกาสที่ดีในการเริ่มต้นพัฒนาระบบประเมินผลการเทรดของตนเอง
ผู้เขียนเข้าใจดีว่าการขาดทุนในช่วงแรกอาจทำให้รู้สึกท้อแท้และกังวลว่าตนเองอาจไม่เหมาะกับการเทรด แต่ขอให้เชื่อว่าทุกคนสามารถประสบความสำเร็จได้หากมีระบบการประเมินและพัฒนาที่ดี
เริ่มต้นจดบันทึกการเทรดตั้งแต่วันนี้ และใช้เทคนิคการประเมินผลที่ได้เรียนรู้ไปพัฒนาการเทรดของคุณ ความสำเร็จรออยู่ที่ปลายทางอย่างแน่นอน!
ความคิดเห็น