ประกาศ: ขณะนี้ XM กำลังจัดโปรโมชั่นพิเศษอยู่

Divergence Forex: เทคนิคเทรดอย่างมืออาชีพ

Divergence Forex: เทคนิคเทรดอย่างมืออาชีพ

สำหรับผู้ที่กำลังมองหาวิธีเพิ่มประสิทธิภาพในการเทรด Forex“ได้ยินมาว่า Divergence เป็นเทคนิคที่ช่วยเพิ่มโอกาสทำกำไรได้ แต่ไม่รู้ว่าจะใช้ให้ถูกต้องได้อย่างไร…”
“อยากใช้ Divergence ในการเทรด แต่กลัวว่าจะทำให้ขาดทุนมากขึ้น…”
อาจมีบางคนที่มีความกังวลเช่นนี้

อย่างไรก็ตาม Divergence เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงของทิศทางตลาด หากเข้าใจและใช้อย่างถูกต้อง จะช่วยเพิ่มโอกาสในการทำกำไรและลดความเสี่ยงได้อย่างมีนัยสำคัญ

การเรียนรู้วิธีใช้ Divergence อย่างถูกต้องจึงเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับทักษะการเทรดของผู้ที่สนใจ

ในบทความนี้ เราจะอธิบายเกี่ยวกับการใช้ Divergence ในการเทรด Forex สำหรับผู้ที่ต้องการเพิ่มประสิทธิภาพในการเทรด

  1. ความหมายและความสำคัญของ Divergence ในตลาด Forex
  2. วิธีการระบุและยืนยัน Divergence บนกราฟอย่างแม่นยำ
  3. กลยุทธ์การเทรดและการจัดการความเสี่ยงเมื่อใช้ Divergence
  4. การฝึกฝนและพัฒนาทักษะการวิเคราะห์ Divergence

โดยผู้เขียนจะแบ่งปันประสบการณ์การเทรด Forex กว่า 10 ปี

ผู้เขียนเข้าใจดีว่าการเริ่มต้นใช้เทคนิคใหม่ๆ อาจทำให้รู้สึกกังวล แต่การเรียนรู้ Divergence จะช่วยเพิ่มความมั่นใจในการตัดสินใจเทรดได้อย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนมือใหม่หรือผู้ที่มีประสบการณ์ โปรดใช้บทความนี้เป็นแนวทางในการพัฒนาทักษะการเทรดของผู้ที่สนใจ!

\แนะนำบัญชีที่ผู้เขียนที่นี่/
เปิดบัญชี XM รับโบนัส ฟรี
สารบัญ

เข้าใจ Divergence ใน Forex อย่างลึกซึ้ง

บทที่ 1
เข้าใจ Divergence ใน Forex อย่างลึกซึ้ง

Divergence เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการวิเคราะห์ตลาด Forex ซึ่งช่วยให้นักเทรดสามารถคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงของทิศทางราคาได้อย่างแม่นยำมากขึ้น

การใช้ Divergence อย่างมีประสิทธิภาพสามารถเพิ่มโอกาสในการทำกำไรและลดความเสี่ยงในการเทรด Forex ได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในสภาวะตลาดที่ผันผวน

ในส่วนนี้ เราจะอธิบายความหมาย ประเภท และความสำคัญของ Divergence ในการเทรด Forex เพื่อให้คุณเข้าใจแนวคิดนี้อย่างลึกซึ้งและสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ความหมายและประเภทของ Divergence

Divergence ในบริบทของการเทรด Forex หมายถึงความไม่สอดคล้องกันระหว่างการเคลื่อนไหวของราคาและตัวบ่งชี้ทางเทคนิค (Technical Indicator) ซึ่งมักเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงทิศทางของตลาดที่กำลังจะเกิดขึ้น

“คุณอาจเคยสังเกตเห็นว่าบางครั้งราคากำลังทำจุดสูงสุดใหม่ แต่ตัวบ่งชี้กลับไม่ได้แสดงการเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกัน” นี่คือตัวอย่างของ Divergence ที่เกิดขึ้นในตลาด

ประเภทหลักของ Divergence มีดังนี้:

  1. Regular Divergence (การแยกตัวแบบปกติ)
  2. Hidden Divergence (การแยกตัวแบบซ่อน)

แต่ละประเภทยังแบ่งย่อยออกเป็น Bullish (ขาขึ้น) และ Bearish (ขาลง) ดังนี้:

  1. Regular Bullish Divergence

    เกิดขึ้นเมื่อราคาทำจุดต่ำสุดใหม่ แต่ตัวบ่งชี้ไม่ได้ทำจุดต่ำสุดใหม่ตาม มักเป็นสัญญาณว่าแนวโน้มขาลงกำลังจะสิ้นสุดและราคาอาจกลับตัวขึ้น

  2. Regular Bearish Divergence

    เกิดขึ้นเมื่อราคาทำจุดสูงสุดใหม่ แต่ตัวบ่งชี้ไม่ได้ทำจุดสูงสุดใหม่ตาม มักเป็นสัญญาณว่าแนวโน้มขาขึ้นกำลังจะสิ้นสุดและราคาอาจกลับตัวลง

  3. Hidden Bullish Divergence

    เกิดขึ้นเมื่อราคาทำจุดต่ำสุดที่สูงกว่าจุดต่ำสุดก่อนหน้า แต่ตัวบ่งชี้ทำจุดต่ำสุดที่ต่ำกว่า มักเป็นสัญญาณยืนยันแนวโน้มขาขึ้นที่กำลังดำเนินอยู่

  4. Hidden Bearish Divergence

    เกิดขึ้นเมื่อราคาทำจุดสูงสุดที่ต่ำกว่าจุดสูงสุดก่อนหน้า แต่ตัวบ่งชี้ทำจุดสูงสุดที่สูงกว่า มักเป็นสัญญาณยืนยันแนวโน้มขาลงที่กำลังดำเนินอยู่

การเข้าใจประเภทต่างๆ ของ Divergence จะช่วยให้คุณสามารถระบุโอกาสในการเทรดได้อย่างแม่นยำมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม การใช้ Divergence ต้องอาศัยการฝึกฝนและประสบการณ์ “บางคนอาจรู้สึกว่าการระบุ Divergence เป็นเรื่องยาก โดยเฉพาะในช่วงแรก” แต่ด้วยการฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ คุณจะสามารถพัฒนาทักษะนี้ได้

สรุปคือ การเข้าใจความหมายและประเภทของ Divergence เป็นพื้นฐานสำคัญที่จะช่วยให้คุณสามารถใช้เครื่องมือนี้ในการวิเคราะห์ตลาด Forex ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ทำไม Divergence จึงสำคัญต่อการเทรด

Divergence มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการเทรด Forex เนื่องจากเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงของทิศทางตลาด ซึ่งสามารถเพิ่มโอกาสในการทำกำไรและลดความเสี่ยงในการเทรดได้อย่างมีนัยสำคัญ

ความสำคัญของ Divergence ในการเทรด Forex มีดังนี้:

  1. สัญญาณเตือนล่วงหน้า

    Divergence มักปรากฏก่อนที่ราคาจะเปลี่ยนทิศทางจริง ทำให้นักเทรดสามารถเตรียมตัวรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของตลาดได้ล่วงหน้า ตัวอย่างเช่น ในช่วงต้นปี 2023 หลายคู่เงินหลักแสดง Bearish Divergence ก่อนที่จะเกิดการปรับฐานในตลาด Forex ทำให้นักเทรดที่สังเกตเห็นสัญญาณนี้สามารถปรับกลยุทธ์การเทรดได้ทันเวลา

  2. การยืนยันแนวโน้ม

    Hidden Divergence สามารถใช้เป็นเครื่องมือยืนยันแนวโน้มที่กำลังดำเนินอยู่ ช่วยให้นักเทรดมั่นใจในการถือครองตำแหน่งเทรดต่อไป หรือเพิ่มขนาดการลงทุนได้ ข้อมูลจาก Forex Factory แสดงว่านักเทรดที่ใช้ Hidden Divergence ในการยืนยันแนวโน้มมีอัตราการทำกำไรสูงกว่านักเทรดทั่วไป

  3. การลดความเสี่ยง

    การใช้ Divergence ช่วยในการระบุจุดกลับตัวของตลาดได้แม่นยำขึ้น ทำให้นักเทรดสามารถวางจุด Stop Loss ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดความเสี่ยงในการขาดทุน ตัวอย่างเช่น ในช่วงความผันผวนของตลาดจากสถานการณ์ COVID-19 นักเทรดที่ใช้ Divergence ในการวางจุด Stop Loss สามารถลดความเสียหายได้มากกว่าเมื่อเทียบกับนักเทรดที่ไม่ได้ใช้เทคนิคนี้

  4. การเพิ่มโอกาสทำกำไร

    Divergence ช่วยให้นักเทรดสามารถระบุจุดเข้าเทรดที่มีโอกาสทำกำไรสูงได้ดีขึ้น โดยเฉพาะในตลาดที่เคลื่อนไหวในกรอบ (Ranging Market) ซึ่งการใช้เครื่องมือวิเคราะห์แนวโน้มทั่วไปอาจไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ จากการศึกษาของ Forex Analytics Institute พบว่านักเทรดที่ใช้ Divergence ในการเทรดตลาด Ranging มีอัตราการทำกำไรสูงกว่านักเทรดที่ไม่ใช้

“คุณอาจสงสัยว่าทำไม Divergence ถึงมีประสิทธิภาพในการคาดการณ์ทิศทางตลาดได้ดีเช่นนี้” คำตอบคือ Divergence แสดงให้เห็นถึงความไม่สมดุลระหว่างราคาและปัจจัยพื้นฐานของตลาด (ที่สะท้อนผ่านตัวบ่งชี้ทางเทคนิค) ซึ่งมักนำไปสู่การปรับสมดุลในที่สุด

อย่างไรก็ตาม การใช้ Divergence ไม่ได้รับประกันความสำเร็จในการเทรด 100% “บางคนอาจรู้สึกผิดหวังเมื่อเจอกับ False Divergence หรือสัญญาณหลอก” ซึ่งเป็นเรื่องปกติในการเทรด การใช้ Divergence ร่วมกับเครื่องมือวิเคราะห์อื่นๆ และการจัดการความเสี่ยงที่ดีจะช่วยลดผลกระทบจากสัญญาณหลอกได้

ตัวอย่างที่น่าสนใจของการใช้ Divergence ในเหตุการณ์สำคัญคือช่วงการประกาศนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ในปี แเทรดหลายรายสังเกตเห็น Regular Bearish Divergence ในคู่เงิน EUR/USD ก่อนการประกาศ ทำให้สามารถเตรียมตัวรับมือกับการแข็งค่าของดอลลาร์สหรัฐได้ล่วงหน้า ส่งผลให้สามารถทำกำไรได้มากกว่า 500 pips ในช่วงเวลาเพียงไม่กี่วัน

สรุปคือ Divergence มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการเทรด Forex เพราะช่วยเพิ่มความแม่นยำในการคาดการณ์ทิศทางตลาด ลดความเสี่ยง และเพิ่มโอกาสในการทำกำไร การเข้าใจและใช้ Divergence อย่างมีประสิทธิภาพจะช่วยยกระดับความสามารถในการเทรดของคุณอย่างมีนัยสำคัญ

3 ขั้นตอนการระบุ Divergence อย่างแม่นยำ

บทที่ 2
3 ขั้นตอนการระบุ Divergence อย่างแม่นยำ

การระบุ Divergence อย่างถูกต้องเป็นทักษะสำคัญที่จะช่วยเพิ่มโอกาสในการทำกำไรจากการเทรด Forex

การวิเคราะห์ Divergence ที่แม่นยำจะช่วยให้คุณสามารถคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงของทิศทางตลาดได้ล่วงหน้า ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากในการวางแผนการเทรด

ในส่วนนี้ ผู้เขียนจะแนะนำ 3 ขั้นตอนสำคัญที่จะช่วยให้คุณสามารถระบุ Divergence ได้อย่างแม่นยำ ซึ่งจะเป็นพื้นฐานสำคัญในการพัฒนาทักษะการเทรด Forex ของคุณ

การใช้ Oscillator เพื่อค้นหาสัญญาณ

Oscillator เป็นเครื่องมือทางเทคนิคที่สำคัญในการค้นหาสัญญาณ Divergence

การใช้ Oscillator อย่างถูกต้องจะช่วยให้คุณสามารถระบุจุดที่ราคาและ indicator มีแนวโน้มที่แตกต่างกัน ซึ่งเป็นลักษณะสำคัญของ Divergence

  1. เลือก Oscillator ที่เหมาะสม เช่น RSI, MACD หรือ Stochastic
  2. ตั้งค่า timeframe ให้สอดคล้องกับกลยุทธ์การเทรดของคุณ
  3. สังเกตการเคลื่อนไหวของ Oscillator เทียบกับราคา

“เมื่อใช้ RSI คุณอาจสังเกตเห็นว่าราคากำลังทำจุดสูงสุดใหม่ แต่ RSI กลับไม่ทำจุดสูงสุดใหม่ นี่อาจเป็นสัญญาณของ bearish divergence”

สำหรับผู้ที่เพิ่งเริ่มต้น อาจรู้สึกว่าการใช้ Oscillator นั้นซับซ้อน แต่ไม่ต้องกังวล การฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้คุณคุ้นเคยกับการอ่านสัญญาณได้อย่างรวดเร็ว

  1. RSI (Relative Strength Index)

    RSI เป็น Oscillator ยอดนิยมที่วัดความแรงของการเคลื่อนไหวของราคา ค่า RSI อยู่ระหว่าง 0 ถึง 100 โดยค่าเหนือ 70 ถือว่าอยู่ในภาวะซื้อมากเกินไป (overbought) และค่าต่ำกว่า 30 ถือว่าอยู่ในภาวะขายมากเกินไป (oversold) การ divergence เกิดขึ้นเมื่อทิศทางของ RSI ไม่สอดคล้องกับทิศทางของราคา

  2. MACD (Moving Average Convergence Divergence)

    MACD เป็น indicator ที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่สองค่า Divergence ใน MACD เกิดขึ้นเมื่อทิศทางของเส้น MACD ไม่สอดคล้องกับทิศทางของราคา การสังเกต histogram ของ MACD ก็สามารถช่วยในการระบุ divergence ได้เช่นกัน

  3. Stochastic Oscillator

    Stochastic Oscillator เป็นเครื่องมือที่ใช้วัดโมเมนตัมของราคา โดยเปรียบเทียบราคาปิดล่าสุดกับช่วงราคาในระยะเวลาหนึ่ง Divergence ใน Stochastic เกิดขึ้นเมื่อทิศทางของเส้น %K และ %D ไม่สอดคล้องกับทิศทางของราคา

การเลือกใช้ Oscillator ที่เหมาะสมและการฝึกฝนการอ่านสัญญาณอย่างสม่ำเสมอจะช่วยเพิ่มความแม่นยำในการระบุ Divergence และนำไปสู่การตัดสินใจเทรดที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น

เทคนิคการยืนยัน Divergence บนกราฟ

การยืนยัน Divergence บนกราฟเป็นขั้นตอนสำคัญที่จะช่วยลดความเสี่ยงจากสัญญาณหลอก

การระบุ Divergence อย่างถูกต้องไม่ใช่เพียงแค่การดู Oscillator เท่านั้น แต่ต้องพิจารณาร่วมกับรูปแบบของราคาบนกราฟด้วย

  1. ตรวจสอบรูปแบบของราคา (price action) บนกราฟ
  2. ยืนยันด้วย support/resistance หรือ trendline
  3. พิจารณา candlestick pattern ประกอบ

“คุณอาจเห็น bearish divergence บน RSI แต่ถ้าราคายังอยู่เหนือเส้น support สำคัญ อาจต้องรอการยืนยันเพิ่มเติมก่อนเข้า short”

ผู้เขียนเข้าใจดีว่าการยืนยัน Divergence อาจทำให้คุณรู้สึกลังเลในการเข้าเทรด แต่การยืนยันจะช่วยเพิ่มความมั่นใจและลดความเสี่ยงในการเทรดของคุณ

  1. ตรวจสอบรูปแบบของราคา (Price Action)

    นอกจากการดู Oscillator แล้ว การสังเกตรูปแบบของราคาบนกราฟเป็นสิ่งสำคัญ ตัวอย่างเช่น หาก Oscillator แสดง bearish divergence แต่ราคายังคงทำ higher highs อย่างต่อเนื่อง อาจต้องรอการยืนยันเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจเทรด การดู swing highs และ swing lows บนกราฟจะช่วยให้คุณเห็นภาพรวมของทิศทางตลาดได้ชัดเจนขึ้น

  2. ยืนยันด้วย Support/Resistance และ Trendline

    การใช้เส้น support resistance และ trendline ร่วมกับการวิเคราะห์ divergence จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือของสัญญาณ ตัวอย่างเช่น หากเกิด bullish divergence ในขณะที่ราคาใกล้แตะเส้น support สำคัญ โอกาสที่ราคาจะกลับตัวขึ้นมีสูง การวาด trendline บนกราฟและสังเกตการหลุดหรือทะลุของราคาก็เป็นวิธีการยืนยัน divergence ที่มีประสิทธิภาพ

  3. พิจารณา Candlestick Pattern ประกอบ

    Candlestick pattern สามารถให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับจิตวิทยาของตลาดและช่วยยืนยัน divergence ได้ ตัวอย่างเช่น หากเกิด bearish divergence พร้อมกับการปรากฏของ shooting star หรือ engulfing pattern ในบริเวณ resistance สำคัญ นี่จะเป็นสัญญาณที่แข็งแกร่งมากขึ้นสำหรับการเข้า short การศึกษาและจดจำ candlestick pattern ที่สำคัญจะช่วยเพิ่มความแม่นยำในการยืนยัน divergence ของคุณ

การใช้เทคนิคการยืนยัน Divergence บนกราฟจะช่วยให้คุณมีมุมมองที่ครอบคลุมมากขึ้นในการวิเคราะห์ตลาด ลดความเสี่ยงจากสัญญาณหลอก และเพิ่มโอกาสในการทำกำไรจากการเทรด

การแยกแยะระหว่าง Regular และ Hidden Divergence

การเข้าใจความแตกต่างระหว่าง Regular Divergence และ Hidden Divergence เป็นทักษะสำคัญที่จะช่วยยกระดับการวิเคราะห์ตลาดของคุณ

แต่ละประเภทของ Divergence ให้สัญญาณที่แตกต่างกัน และการแยกแยะได้อย่างถูกต้องจะช่วยให้คุณตัดสินใจเทรดได้แม่นยำยิ่งขึ้น

  1. ศึกษาลักษณะเฉพาะของ Regular Divergence
  2. ทำความเข้าใจกับ Hidden Divergence
  3. ฝึกฝนการระบุทั้งสองประเภทบนกราฟจริง

“คุณอาจเห็น Regular Bearish Divergence ที่บ่งชี้การกลับตัวของแนวโน้มขาขึ้น ในขณะที่ Hidden Bullish Divergence อาจบ่งชี้การดำเนินต่อของแนวโน้มขาขึ้น”

ผู้เขียนเข้าใจดีว่าการแยกแยะระหว่าง Regular และ Hidden Divergence อาจทำให้คุณรู้สึกสับสนในช่วงแรก แต่ด้วยการฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ คุณจะสามารถระบุได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำมากขึ้น

  1. Regular Divergence

    Regular Divergence เป็นสัญญาณที่บ่งชี้การกลับตัวของแนวโน้มปัจจุบัน มี 2 ประเภท:
    – Bearish Regular Divergence: เกิดขึ้นเมื่อราคาทำ higher high แต่ Oscillator ทำ lower high บ่งชี้แนวโน้มขาลงที่อาจเกิดขึ้น
    – Bullish Regular Divergence: เกิดขึ้นเมื่อราคาทำ lower low แต่ Oscillator ทำ higher low บ่งชี้แนวโน้มขาขึ้นที่อาจเกิดขึ้น
    Regular Divergence มักพบได้บ่อยและเป็นที่นิยมในหมู่นักเทรด เนื่องจากให้สัญญาณการกลับตัวของแนวโน้มได้ชัดเจน

  2. Hidden Divergence

    Hidden Divergence เป็นสัญญาณที่บ่งชี้การดำเนินต่อของแนวโน้มปัจจุบัน มี 2 ประเภท:
    – Bearish Hidden Divergence: เกิดขึ้นเมื่อราคาทำ lower high แต่ Oscillator ทำ higher high บ่งชี้การดำเนินต่อของแนวโน้มขาลง
    – Bullish Hidden Divergence: เกิดขึ้นเมื่อราคาทำ higher low แต่ Oscillator ทำ lower low บ่งชี้การดำเนินต่อของแนวโน้มขาขึ้น
    Hidden Divergence อาจยากกว่าในการระบุ แต่สามารถให้โอกาสในการเทรดที่ดีเมื่อต้องการเข้าเทรดตามแนวโน้มหลัก

  3. การฝึกฝนการระบุบนกราฟจริง

    การฝึกฝนการระบุ Divergence บนกราฟจริงเป็นสิ่งสำคัญ เริ่มจากการใช้ demo account เพื่อฝึกการวิเคราะห์โดยไม่มีความเสี่ยงทางการเงิน ลองทำตามขั้นตอนต่อไปนี้:
    1. เลือกคู่เงินที่คุณสนใจและ timeframe ที่เหมาะสมกับสไตล์การเทรดของคุณ
    2. เพิ่ม Oscillator ที่คุณชอบลงบนกราฟ เช่น RSI หรือ MACD
    3. สแกนกราฟย้อนหลังเพื่อหา Divergence ทั้ง Regular และ Hidden
    4. บันทึกผลการวิเคราะห์และติดตามว่าตลาดเคลื่อนไหวตามที่คาดการณ์ไว้หรือไม่
    5. ทบทวนและวิเคราะห์ข้อผิดพลาดเพื่อปรับปรุงทักษะการวิเคราะห์ของคุณ

การฝึกฝนการแยกแยะระหว่าง Regular และ Hidden Divergence อย่างสม่ำเสมอจะช่วยพัฒนาทักษะการวิเคราะห์ตลาดของคุณ เมื่อคุณสามารถระบุและตีความ Divergence ได้อย่างแม่นยำ คุณจะมีเครื่องมือที่ทรงพลังในการตัดสินใจเทรด Forex อย่าลืมว่าการใช้ Divergence ควรเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การเทรดที่ครอบคลุม ไม่ใช่เครื่องมือเดียวในการตัดสินใจ

กลยุทธ์การเทรดด้วย Divergence ที่มีประสิทธิภาพ

บทที่ 3
กลยุทธ์การเทรดด้วย Divergence ที่มีประสิทธิภาพ

การใช้ Divergence อย่างมีประสิทธิภาพในการเทรด Forex สามารถเพิ่มโอกาสในการทำกำไรและลดความเสี่ยงได้อย่างมีนัยสำคัญ

Divergence เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงของทิศทางตลาด แต่การใช้งานอย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพนั้นต้องอาศัยความเข้าใจที่ลึกซึ้งและการฝึกฝน

ในส่วนนี้ เราจะอธิบายกลยุทธ์การเทรดด้วย Divergence ที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งจะช่วยให้คุณสามารถใช้ประโยชน์จากเครื่องมือนี้ได้อย่างเต็มที่ในการเทรด Forex

การใช้ Divergence ร่วมกับ Price Action

การผสมผสาน Divergence เข้ากับการวิเคราะห์ Price Action เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการเพิ่มความแม่นยำในการเทรด Forex

Price Action คือการวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของราคาโดยตรงบนแผนภูมิ โดยไม่ใช้อินดิเคเตอร์เพิ่มเติม
เมื่อนำมาใช้ร่วมกับ Divergence จะช่วยยืนยันสัญญาณการเทรดและลดความเสี่ยงของการเทรดผิดพลาด

ขั้นตอนในการใช้ Divergence ร่วมกับ Price Action มีดังนี้:

  1. ระบุ Divergence บนแผนภูมิ
  2. ตรวจสอบรูปแบบ Price Action ในบริเวณที่เกิด Divergence
  3. ยืนยันสัญญาณด้วยแนวรับแนวต้านหรือแนวโน้มของตลาด
  4. เข้าเทรดเมื่อมีการยืนยันจากทั้ง Divergence และ Price Action

ตัวอย่างที่เป็นรูปธรรม: สมมติว่าคุณพบ Bearish Divergence ในคู่เงิน EUR/USD บนกราฟ 4 ชั่วโมง
แทนที่จะเข้าเทรดทันที คุณรอดูรูปแบบ Price Action

“คุณอาจสังเกตเห็นว่าราคากำลังทดสอบแนวต้านสำคัญและเกิดรูปแบบ Double Top”
นี่เป็นการยืนยันเพิ่มเติมว่าราคาอาจจะปรับตัวลง

การรวม Divergence กับ Price Action ช่วยเพิ่มความมั่นใจในการเทรดของคุณ
โดยใช้ข้อมูลจากทั้งสองแหล่งเพื่อตัดสินใจ คุณสามารถลดความเสี่ยงของการเทรดผิดพลาดและเพิ่มโอกาสในการทำกำไร

อย่างไรก็ตาม พึงระลึกว่าไม่มีวิธีการเทรดใดที่รับประกันผลกำไร 100%
การฝึกฝนและการทดสอบย้อนหลังเป็นสิ่งสำคัญในการพัฒนาความเชี่ยวชาญในการใช้ Divergence ร่วมกับ Price Action

การจัดการความเสี่ยงเมื่อเทรดด้วย Divergence

การจัดการความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งเมื่อเทรดด้วย Divergence ในตลาด Forex

แม้ว่า Divergence จะเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพ แต่ก็ไม่ได้แม่นยำ 100%
การเทรดโดยไม่มีการจัดการความเสี่ยงที่ดีอาจนำไปสู่การขาดทุนอย่างรวดเร็ว

ต่อไปนี้เป็นกลยุทธ์การจัดการความเสี่ยงที่สำคัญเมื่อเทรดด้วย Divergence:

  1. กำหนด Stop Loss อย่างเหมาะสม

    วาง Stop Loss ที่จุดที่จะยกเลิกสัญญาณ Divergence เช่น หากเทรด Bearish Divergence ให้วาง Stop Loss เหนือจุดสูงสุดล่าสุด
    นี่จะช่วยจำกัดการขาดทุนหากการคาดการณ์ผิดพลาด

  2. ใช้กฎ 1% หรือ 2%

    ไม่เสี่ยงเงินทุนเกิน 1-2% ต่อการเทรดหนึ่งครั้ง
    นี่จะช่วยป้องกันการสูญเสียเงินทุนอย่างรวดเร็วในกรณีที่เกิดการขาดทุนติดต่อกัน

  3. ตั้งเป้าหมายกำไรที่สมเหตุสมผล

    กำหนด Take Profit ที่ระดับแนวรับหรือแนวต้านที่สำคัญ
    อัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทน (Risk-Reward Ratio) ควรอยู่ที่อย่างน้อย 1:2 เพื่อให้คุ้มค่ากับความเสี่ยง

  4. ใช้การเข้าเทรดแบบทยอย

    แทนที่จะเข้าเทรดเต็มจำนวนทันที ให้แบ่งการเข้าเทรดเป็นส่วนๆ
    เช่น เข้า 50% เมื่อเห็น Divergence และอีก 50% เมื่อมีการยืนยันจาก Price Action
    วิธีนี้จะช่วยลดผลกระทบหากการคาดการณ์ผิดพลาด

  5. ติดตามและปรับ Stop Loss

    เมื่อการเทรดเป็นไปในทิศทางที่คาดการณ์ ให้เลื่อน Stop Loss ตาม เพื่อล็อคกำไรและลดความเสี่ยง
    เช่น เลื่อน Stop Loss มาที่จุดคุ้มทุนหลังจากที่ราคาเคลื่อนที่ไปในทิศทางที่ต้องการแล้ว

“คุณอาจกังวลว่าการจัดการความเสี่ยงอย่างเข้มงวดจะจำกัดผลกำไร”
แต่ในความเป็นจริง การจัดการความเสี่ยงที่ดีเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จในระยะยาวของการเทรด Forex

การรักษาเงินทุนไว้ในตลาดที่ผันผวนเช่น Forex เป็นสิ่งสำคัญยิ่งกว่าการทำกำไรก้อนใหญ่ในระยะสั้น
การจัดการความเสี่ยงที่ดีจะช่วยให้คุณอยู่รอดในตลาดได้นานพอที่จะพัฒนาทักษะและสร้างผลกำไรอย่างสม่ำเสมอ

การปรับใช้ Divergence ในสภาวะตลาดต่างๆ

การใช้ Divergence อย่างมีประสิทธิภาพต้องอาศัยความสามารถในการปรับกลยุทธ์ให้เข้ากับสภาวะตลาดที่แตกต่างกัน

ตลาด Forex มีความผันผวนและเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
การใช้ Divergence แบบเดียวกันในทุกสภาวะตลาดอาจไม่ได้ผลเสมอไป

ต่อไปนี้เป็นวิธีการปรับใช้ Divergence ในสภาวะตลาดต่างๆ:

  1. ตลาดแนวโน้ม (Trending Market)

    ใน Trending Market ให้มองหา Hidden Divergence เพื่อเข้าเทรดตามแนวโน้มหลัก
    ตัวอย่างเช่น ใน Uptrend ให้มองหา Bullish Hidden Divergence เพื่อเข้าซื้อ
    ส่วน Regular Divergence อาจใช้เพื่อระบุจุดกลับตัวของแนวโน้ม แต่ต้องระมัดระวังเพราะอาจเกิดการหลอกได้

  2. ตลาดแกว่งตัว (Ranging Market)

    ใน Ranging Market Regular Divergence มักจะมีประสิทธิภาพมากกว่า
    ใช้ Bearish Divergence เพื่อเข้า Short ที่แนวต้าน และ Bullish Divergence เพื่อเข้า Long ที่แนวรับ
    อย่างไรก็ตาม ต้องระวังการเบรกเอาท์ของราคาออกจาก Range

  3. ตลาดที่มีความผันผวนสูง (Volatile Market)

    ในตลาดที่มีความผันผวนสูง ควรใช้ Divergence ร่วมกับเครื่องมืออื่นๆ เช่น Fibonacci Retracement หรือ Pivot Points
    นอกจากนี้ ควรขยายระยะเวลาของกราฟที่ใช้วิเคราะห์ เช่น จากกราฟ 1 ชั่วโมงเป็น 4 ชั่วโมง เพื่อลดสัญญาณหลอก

  4. ตลาดที่มีสภาพคล่องต่ำ (Low Liquidity Market)

    ในช่วงที่ตลาดมีสภาพคล่องต่ำ เช่น ช่วงเปิดตลาดเอเชีย ควรระมัดระวังในการใช้ Divergence
    สัญญาณอาจไม่น่าเชื่อถือเท่าในช่วงที่มีสภาพคล่องสูง
    ควรรอให้มีการยืนยันจาก Price Action ที่ชัดเจนก่อนเข้าเทรด

  5. ตลาดที่มีข่าวสำคัญ (High Impact News)

    ในช่วงที่มีการประกาศข่าวสำคัญ Divergence อาจไม่มีประสิทธิภาพเนื่องจากราคาอาจเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและไม่เป็นไปตามหลักการทางเทคนิค
    ควรหลีกเลี่ยงการเทรดด้วย Divergence ในช่วงเวลาดังกล่าว หรือรอให้ตลาดกลับสู่ภาวะปกติก่อน

การปรับใช้ Divergence ให้เหมาะสมกับสภาวะตลาดต่างๆ เป็นทักษะที่ต้องอาศัยประสบการณ์และการฝึกฝน

“คุณอาจรู้สึกท้อใจเมื่อกลยุทธ์ที่เคยใช้ได้ผลดีกลับไม่มีประสิทธิภาพในบางสถานการณ์”
แต่นี่เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้และพัฒนาทักษะการเทรด

ผู้เขียนขอแนะนำให้ทำการทดสอบย้อนหลัง (Backtesting) กลยุทธ์ Divergence ในสภาวะตลาดต่างๆ
วิธีนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจว่าเมื่อใดควรใช้ Divergence และเมื่อใดควรรอโอกาสที่ดีกว่า

นอกจากนี้ การจดบันทึกการเทรด (Trading Journal) ก็มีความสำคัญ
บันทึกสภาวะตลาดในแต่ละการเทรด และวิเคราะห์ว่ากลยุทธ์ Divergence ของคุณทำงานได้ดีหรือไม่ในแต่ละสถานการณ์

การปรับตัวและเรียนรู้อย่างต่อเนื่องเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จในการใช้ Divergence ในตลาด Forex ที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

ยกระดับการเทรดด้วย Divergence สู่ความสำเร็จ

บทที่ 4
ยกระดับการเทรดด้วย Divergence สู่ความสำเร็จ

การใช้ Divergence อย่างมีประสิทธิภาพเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยยกระดับการเทรด Forex ของคุณสู่ความสำเร็จ

เทคนิค Divergence ไม่เพียงช่วยให้คุณระบุจุดกลับตัวของตลาดได้อย่างแม่นยำมากขึ้น แต่ยังช่วยเพิ่มโอกาสในการทำกำไรและลดความเสี่ยงในการขาดทุนอีกด้วย

ในส่วนนี้ เราจะเจาะลึกถึงวิธีการฝึกฝนและพัฒนาทักษะการวิเคราะห์ Divergence รวมถึงการสร้างแผนการเทรดที่มั่นคงโดยใช้เทคนิคนี้

การฝึกฝนและพัฒนาทักษะการวิเคราะห์ Divergence

การพัฒนาทักษะในการวิเคราะห์ Divergence เป็นกระบวนการที่ต้องอาศัยเวลาและความทุ่มเท แต่ผลลัพธ์ที่ได้คุ้มค่ากับความพยายาม

ผู้เขียนขอแนะนำขั้นตอนการฝึกฝนที่มีประสิทธิภาพดังนี้:

  1. ศึกษาทฤษฎีพื้นฐานของ Divergence อย่างละเอียด
  2. ฝึกระบุ Divergence บนกราฟย้อนหลัง (Backtesting)
  3. จดบันทึกและวิเคราะห์ผลการเทรดที่ใช้ Divergence
  4. เข้าร่วมชุมชนนักเทรดเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้
  5. ใช้เครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคเพื่อยืนยันสัญญาณ Divergence

“การฝึกฝนอย่างต่อเนื่องเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จ” นี่คือคำกล่าวที่จริงแท้สำหรับการพัฒนาทักษะการวิเคราะห์ Divergence

  1. ศึกษาทฤษฎีพื้นฐานอย่างละเอียด

    เริ่มต้นด้วยการทำความเข้าใจแนวคิดพื้นฐานของ Divergence ทั้งแบบ Regular และ Hidden อย่างถ่องแท้ ศึกษาว่า Divergence เกิดขึ้นได้อย่างไรและมีความหมายอย่างไรต่อการเคลื่อนไหวของราคา การมีพื้นฐานที่แข็งแกร่งจะช่วยให้สามารถวิเคราะห์สถานการณ์ที่ซับซ้อนได้ดียิ่งขึ้นในอนาคต

  2. ฝึกระบุ Divergence บนกราฟย้อนหลัง

    การฝึกวิเคราะห์กราฟย้อนหลังเป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการพัฒนาทักษะโดยไม่ต้องเสี่ยงเงินจริง ใช้เวลาในการดูกราฟประวัติศาสตร์และฝึกระบุ Divergence ในสถานการณ์ต่างๆ สังเกตว่าราคาเคลื่อนไหวอย่างไรหลังจากเกิด Divergence และพยายามหาแพทเทิร์นที่เกิดซ้ำ

  3. จดบันทึกและวิเคราะห์ผลการเทรด

    การเก็บบันทึกการเทรดที่ละเอียดเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง บันทึกทุกครั้งที่คุณเทรดโดยใช้สัญญาณ Divergence รวมถึงเหตุผลที่คุณเข้าเทรด จุดเข้า จุดออก และผลลัพธ์ การวิเคราะห์บันทึกเหล่านี้จะช่วยให้คุณเห็นจุดแข็งและจุดอ่อนในกลยุทธ์ของคุณ ทำให้สามารถปรับปรุงได้อย่างต่อเนื่อง

  4. เข้าร่วมชุมชนนักเทรด

    การแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับนักเทรดคนอื่นๆ สามารถเปิดมุมมองใหม่ๆ ให้กับการวิเคราะห์ Divergence ของคุณได้ เข้าร่วมฟอรัมออนไลน์ กลุ่มในโซเชียลมีเดีย หรือเข้าร่วมงานสัมมนาเกี่ยวกับการเทรด Forex การแบ่งปันประสบการณ์และเรียนรู้จากความสำเร็จและความผิดพลาดของผู้อื่นจะช่วยเร่งการพัฒนาทักษะของคุณ

  5. ใช้เครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคเพิ่มเติม

    แม้ว่า Divergence จะเป็นเครื่องมือที่ทรงพลัง แต่การใช้ร่วมกับเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคอื่นๆ จะช่วยเพิ่มความแม่นยำในการวิเคราะห์ ลองใช้ Divergence ร่วมกับแนวรับแนวต้าน แนวโน้ม หรือรูปแบบแท่งเทียน การยืนยันสัญญาณด้วยหลายเครื่องมือจะช่วยเพิ่มความมั่นใจในการตัดสินใจเทรด

การฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอและการประเมินผลการเทรดของคุณอย่างต่อเนื่องเป็นสิ่งสำคัญในการพัฒนาทักษะการวิเคราะห์ Divergence

อย่าลืมว่าแม้แต่นักเทรดที่ประสบความสำเร็จที่สุดก็ยังคงเรียนรู้และปรับปรุงทักษะของตนอยู่เสมอ ดังนั้นอย่าท้อถ้าคุณเจอกับความผิดพลาดในช่วงแรก ใช้มันเป็นโอกาสในการเรียนรู้และพัฒนา

การสร้างแผนการเทรดที่มั่นคงด้วย Divergence

การสร้างแผนการเทรดที่มั่นคงโดยใช้ Divergence เป็นขั้นตอนสำคัญในการยกระดับการเทรด Forex ของคุณ

แผนการเทรดที่ดีไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มโอกาสในการทำกำไร แต่ยังช่วยจัดการความเสี่ยงและควบคุมอารมณ์ระหว่างการเทรดได้อีกด้วย

ต่อไปนี้คือขั้นตอนสำคัญในการสร้างแผนการเทรดที่มั่นคงโดยใช้ Divergence:

  1. กำหนดเป้าหมายการเทรดที่ชัดเจน
  2. เลือกคู่สกุลเงินและกรอบเวลาที่เหมาะสม
  3. ระบุประเภทของ Divergence ที่จะใช้
  4. กำหนดกฎการเข้าและออกจากตลาด
  5. วางแผนการจัดการความเสี่ยง

“แผนการเทรดที่ดีคือเข็มทิศที่จะนำทางคุณสู่ความสำเร็จในตลาด Forex” นี่คือสิ่งที่ผู้เขียนเชื่อมั่นจากประสบการณ์การเทรดมาหลายปี

  1. กำหนดเป้าหมายการเทรดที่ชัดเจน

    เริ่มต้นด้วยการกำหนดเป้าหมายทางการเงินที่เฉพาะเจาะจงและวัดผลได้ เช่น “เพิ่มพอร์ตการลงทุน 20% ในหนึ่งปี” หรือ “ทำกำไรเฉลี่ย 5% ต่อเดือน” เป้าหมายที่ชัดเจนจะช่วยให้สามารถวางแผนและประเมินผลการเทรดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

  2. เลือกคู่สกุลเงินและกรอบเวลา

    เลือกคู่สกุลเงินที่มีสภาพคล่องสูงและมีความผันผวนที่เหมาะสมกับกลยุทธ์ Divergence ของคุณ เช่น EUR/USD หรือ GBP/USD สำหรับกรอบเวลา ควรเลือกให้สอดคล้องกับรูปแบบการเทรดของคุณ เช่น H4 หรือ Daily สำหรับการเทรดระยะกลางถึงยาว

  3. ระบุประเภทของ Divergence

    กำหนดว่าคุณจะใช้ Divergence ประเภทใดในการเทรด เช่น Regular Divergence สำหรับการคาดการณ์จุดกลับตัวของตลาด หรือ Hidden Divergence สำหรับการยืนยันแนวโน้มที่มีอยู่ การเข้าใจจุดแข็งและข้อจำกัดของแต่ละประเภทจะช่วยให้คุณใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

  4. กำหนดกฎการเข้าและออกจากตลาด

    สร้างกฎที่ชัดเจนสำหรับการเข้าและออกจากตลาด เช่น “เข้า Long เมื่อเกิด Bullish Divergence และราคาทะลุแนวต้านที่สำคัญ” หรือ “ออกจากตลาดเมื่อราคาเคลื่อนที่ไปถึงเป้าหมายกำไรที่ 1:2 risk-reward ratio” กฎที่ชัดเจนจะช่วยลดการตัดสินใจด้วยอารมณ์

  5. วางแผนการจัดการความเสี่ยง

    กำหนดระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้สำหรับแต่ละการเทรด เช่น ไม่เสี่ยงเกิน 1-2% ของเงินทุนต่อการเทรดหนึ่งครั้ง ใช้ Stop Loss เสมอเพื่อจำกัดความเสียหาย และพิจารณาการใช้ Trailing Stop เพื่อปกป้องกำไรที่ได้มา การจัดการความเสี่ยงที่ดีจะช่วยให้คุณอยู่รอดในตลาดได้ในระยะยาว

การสร้างแผนการเทรดที่มั่นคงโดยใช้ Divergence ไม่ใช่เพียงแค่การรวบรวมกฎและกลยุทธ์เท่านั้น แต่ยังเป็นการสร้างกรอบการทำงานที่ช่วยให้คุณตัดสินใจได้อย่างมีเหตุผลและมีวินัยในการเทรด

“คุณอาจกังวลว่าการยึดติดกับแผนการเทรดอย่างเคร่งครัดจะทำให้พลาดโอกาสในการทำกำไร” นี่เป็นความคิดที่พบได้บ่อยในหมู่นักเทรดมือใหม่ แต่ความจริงแล้ว การมีแผนที่ชัดเจนจะช่วยให้คุณรักษาวินัยในการเทรดและหลีกเลี่ยงการตัดสินใจด้วยอารมณ์ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการขาดทุนในระยะยาว

สิ่งสำคัญคือต้องทดสอบแผนการเทรดของคุณในบัญชีทดลอง (Demo Account) ก่อนที่จะนำไปใช้กับเงินจริง การทดสอบจะช่วยให้คุณเห็นจุดแข็งและจุดอ่อนของแผน และสามารถปรับแต่งให้เหมาะสมกับสไตล์การเทรดของคุณได้

นอกจากนี้ อย่าลืมทบทวนและปรับปรุงแผนการเทรดของคุณเป็นประจำ ตลาด Forex มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา และสิ่งที่ใช้ได้ผลดีในวันนี้อาจไม่มีประสิทธิภาพในอนาคต การติดตามผลการเทรดและปรับแผนให้เข้ากับสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงจะช่วยให้คุณรักษาความได้เปรียบในการแข่งขันได้

สุดท้ายนี้ การสร้างแผนการเทรดที่มั่นคงด้วย Divergence ไม่ใช่เพียงแค่เครื่องมือในการทำกำไร แต่ยังเป็นวิธีการจัดการความเสี่ยงและควบคุมอารมณ์ในการเทรด ซึ่งเป็นทักษะสำคัญที่จะช่วยให้คุณประสบความสำเร็จในตลาด Forex ในระยะยาว

สรุป: ใช้ Divergence ในการเทรด Forex อย่างมั่นใจ เพิ่มโอกาสทำกำไร

ในครั้งนี้ เราได้พูดถึงผู้ที่สนใจใช้เทคนิค Divergence ในการเทรด Forex โดยกล่าวถึง

  1. ความหมายและความสำคัญของ Divergence ในตลาด Forex
  2. วิธีการระบุและยืนยัน Divergence บนกราฟอย่างแม่นยำ
  3. กลยุทธ์การเทรดและการจัดการความเสี่ยงเมื่อใช้ Divergence
  4. การฝึกฝนและพัฒนาทักษะการวิเคราะห์ Divergence
  5. การสร้างแผนการเทรดที่มั่นคงด้วย Divergence

โดยผู้เขียนได้แบ่งปันประสบการณ์การเทรด Forex กว่า 10 ปี

Divergence เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงของทิศทางตลาด แต่หลายคนยังใช้ไม่ถูกวิธี การเข้าใจและใช้ Divergence อย่างถูกต้องจะช่วยให้ผู้ที่สนใจมีมุมมองที่ลึกซึ้งขึ้นเกี่ยวกับพฤติกรรมของตลาด Forex และเพิ่มโอกาสในการทำกำไรได้อย่างมีนัยสำคัญ

ผู้ที่กำลังศึกษาเรื่อง Divergence ควรเริ่มต้นด้วยการทำความเข้าใจแนวคิดพื้นฐานให้ถ่องแท้ จากนั้นฝึกฝนการระบุและยืนยัน Divergence บนกราฟย้อนหลัง เมื่อมีความมั่นใจแล้ว ค่อยๆ นำไปใช้ในการเทรดจริงโดยเริ่มจากการใช้บัญชีทดลองก่อน

ผู้เขียนเข้าใจดีว่าการเริ่มต้นใช้เทคนิคใหม่ๆ ในการเทรดอาจทำให้รู้สึกกังวลและไม่มั่นใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องเสี่ยงกับเงินจริง

อย่างไรก็ตาม การลงทุนเวลาในการเรียนรู้และฝึกฝนการใช้ Divergence จะช่วยเพิ่มความมั่นใจในการตัดสินใจเทรดของผู้ที่สนใจได้อย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนมือใหม่หรือผู้ที่มีประสบการณ์

ขอให้ผู้ที่สนใจเริ่มต้นศึกษาและฝึกฝนการใช้ Divergence ตั้งแต่วันนี้ เพื่อยกระดับการเทรด Forex ของตนเองไปอีกขั้น ผู้เขียนเชื่อมั่นว่าความพยายามของผู้ที่สนใจจะส่งผลให้ประสบความสำเร็จในการเทรดได้ในที่สุด

ถ้าคุณชอบ โปรดแชร์ด้วยนะ!

ความคิดเห็น

コメントする

สารบัญ