ประกาศ: ขณะนี้ XM กำลังจัดโปรโมชั่นพิเศษอยู่

เทรดเต็มเวลา เริ่มต้นอย่างไรให้ประสบความสำเร็จ

เทรดเต็มเวลา เริ่มต้นอย่างไรให้ประสบความสำเร็จ

สำหรับผู้ที่กำลังคิดจะลาออกจากงานประจำมาเทรดเต็มเวลา
“แม้จะเทรดมา 2 ปีแล้ว แต่ยังไม่มั่นใจว่าพร้อมจะลาออกจากงานประจำหรือยัง…”
“กลัวว่าถ้าลาออกมาเทรดเต็มเวลาแล้วจะไม่มีรายได้ที่มั่นคง…”

อาจมีผู้ที่มีความกังวลเช่นนี้

การตัดสินใจลาออกจากงานประจำมาเทรดเต็มเวลาไม่ใช่เรื่องที่ต้องรีบร้อน แต่เป็นการเปลี่ยนผ่านที่ต้องวางแผนอย่างรอบคอบจากการสำรวจของสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน พบว่าเทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่ใช้เวลาเตรียมตัวอย่างน้อย 1-2 ปีก่อนตัดสินใจลาออกจากงานประจำ

ด้วยประสบการณ์การเทรดมากกว่า 10 ปี ผู้เขียนเข้าใจดีถึงความกังวลเหล่านี้ และพร้อมแบ่งปันขั้นตอนการเตรียมตัวที่จำเป็นก่อนตัดสินใจเทรดเต็มเวลา

ในบทความนี้ เราจะอธิบายเกี่ยวกับการเตรียมความพร้อมสำหรับผู้ที่สนใจเทรดเต็มเวลา

  1. 3 ขั้นตอนสำคัญก่อนตัดสินใจเทรดเต็มเวลา
  2. กลยุทธ์การเทรดที่เหมาะสมสำหรับมือใหม่
  3. วิธีสร้างรายได้ที่มั่นคงจากการเทรด

โดยผู้เขียนจะแบ่งปันประสบการณ์จริงจากการเป็นเทรดเดอร์อาชีพและเจ้าของธุรกิจ

ผู้เขียนเข้าใจดีว่าการตัดสินใจครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่หากมีการวางแผนที่ดีและเตรียมพร้อมอย่างเพียงพอ การเทรดเต็มเวลาก็สามารถสร้างรายได้ที่มั่นคงได้โปรดใช้บทความนี้เป็นแนวทางในการเตรียมความพร้อมก่อนตัดสินใจก้าวสู่เส้นทางเทรดเดอร์มืออาชีพ

\แนะนำบัญชีที่ผู้เขียนที่นี่/
เปิดบัญชี XM รับโบนัส ฟรี
สารบัญ

3 ขั้นตอนสำคัญก่อนตัดสินใจเทรดเต็มเวลา

บทที่ 1
3 ขั้นตอนสำคัญก่อนตัดสินใจเทรดเต็มเวลา

การตัดสินใจลาออกจากงานประจำมาเทรดเต็มเวลาเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิต ที่ต้องวางแผนอย่างรอบคอบและมีการเตรียมตัวที่ดี

จากข้อมูลการสำรวจของสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน พบว่าเทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จมากกว่า 80% มีการวางแผนและเตรียมตัวอย่างเป็นระบบก่อนลาออกจากงานประจำ

ต่อไปนี้คือ 3 ขั้นตอนสำคัญที่จะช่วยให้การเปลี่ยนผ่านสู่การเป็นเทรดเดอร์เต็มเวลาเป็นไปอย่างราบรื่นและมีโอกาสประสบความสำเร็จมากขึ้น

วางแผนการเงินให้รัดกุมด้วยเงินสำรอง 12 เดือน

การมีเงินสำรองที่เพียงพอเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในการเริ่มต้นเทรดเต็มเวลา

“คุณอาจกังวลว่าเงินเก็บที่มีอยู่จะเพียงพอหรือไม่” ความกังวลนี้เป็นเรื่องปกติ แต่มีวิธีคำนวณที่ช่วยให้วางแผนได้อย่างมั่นใจมากขึ้น

  1. คำนวณค่าใช้จ่ายรายเดือนทั้งหมด

    รวมค่าใช้จ่ายประจำทุกรายการ เช่น ค่าที่พัก ค่าอาหาร ค่าเดินทาง ค่าสาธารณูปโภค ค่าผ่อนชำระ ประกัน และค่าใช้จ่ายอื่นๆ แล้วคูณด้วย 12 เดือน เพื่อให้มั่นใจว่ามีเงินสำรองเพียงพอสำหรับการดำรงชีพอย่างน้อย 1 ปี

  2. กันเงินสำหรับเหตุฉุกเฉิน

    นอกเหนือจากค่าใช้จ่ายประจำ ควรมีเงินสำรองสำหรับเหตุฉุกเฉินอย่างน้อย 100,000 บาท เพื่อรองรับค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดคิด เช่น ค่ารักษาพยาบาล หรือการซ่อมแซมอุปกรณ์ที่จำเป็น

  3. แยกเงินทุนสำหรับการเทรด

    ควรมีเงินทุนสำหรับการเทรดแยกต่างหากจากเงินสำรองค่าใช้จ่าย โดยขนาดของเงินทุนควรมากพอที่จะสร้างรายได้ทดแทนเงินเดือนเดิมได้ เช่น หากต้องการรายได้เดือนละ 50,000 บาท และคาดหวังผลตอบแทน 5% ต่อเดือน ควรมีเงินทุนอย่างน้อย 1,000,000 บาท

ประเมินความพร้อมของตนเองด้วยผลการเทรดย้อนหลัง

การมีประสบการณ์เทรดที่ประสบความสำเร็จเป็นตัวชี้วัดสำคัญของความพร้อมในการเทรดเต็มเวลา

“คุณอาจสงสัยว่าประสบการณ์ที่มีเพียงพอแล้วหรือยัง” การประเมินผลการเทรดย้อนหลังอย่างเป็นระบบจะช่วยตอบคำถามนี้ได้

  1. ตรวจสอบผลตอบแทนย้อนหลังอย่างน้อย 12 เดือน

    วิเคราะห์ผลการเทรดรายเดือนว่ามีความสม่ำเสมอหรือไม่ โดยควรมีกำไรติดต่อกันอย่างน้อย 8 เดือนใน 12 เดือน และมีผลตอบแทนรวมเป็นบวก เทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่มีอัตราชนะ (Win Rate) มากกว่า 50% และมีอัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทน (Risk-Reward Ratio) อย่างน้อย 1:2

  2. บันทึกและวิเคราะห์การเทรดอย่างละเอียด

    ทบทวนบันทึกการเทรดย้อนหลังเพื่อประเมินว่ามีการปฏิบัติตามแผนการเทรดอย่างเคร่งครัดหรือไม่ มีการควบคุมอารมณ์ได้ดีเพียงใด และมีการจัดการความเสี่ยงอย่างเหมาะสมหรือไม่ โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดผันผวน

  3. ทดสอบกลยุทธ์ในสภาวะตลาดที่หลากหลาย

    ตรวจสอบว่ากลยุทธ์การเทรดของคุณสามารถทำกำไรได้ในทุกสภาวะตลาด ทั้งขาขึ้น ขาลง และตลาดที่เคลื่อนไหวในกรอบ หากพบว่ายังมีจุดอ่อนในบางสภาวะตลาด ควรพัฒนากลยุทธ์เพิ่มเติมก่อนตัดสินใจเทรดเต็มเวลา

สร้างระบบการจัดการความเสี่ยงที่เป็นรูปธรรม

การจัดการความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพเป็นหัวใจสำคัญของการเทรดอย่างยั่งยืน

“คุณอาจกังวลว่าการขาดรายได้ประจำจะทำให้เสี่ยงมากขึ้น” ระบบการจัดการความเสี่ยงที่ดีจะช่วยควบคุมความเสี่ยงและรักษาเงินทุนไว้ได้

  1. กำหนดขนาดการลงทุนต่อครั้ง

    ควรจำกัดความเสี่ยงไม่เกิน 1-2% ของเงินทุนต่อการเทรดหนึ่งครั้ง และไม่ควรมีความเสี่ยงรวมเกิน 5% ของพอร์ตในเวลาเดียวกัน เช่น หากมีเงินทุน 1,000,000 บาท ไม่ควรเสี่ยงเกิน 10,000-20,000 บาทต่อการเทรดหนึ่งครั้ง

  2. ตั้งจุดตัดขาดทุนและจุดทำกำไร

    กำหนดจุดตัดขาดทุนและจุดทำกำไรล่วงหน้าทุกครั้งก่อนเข้าเทรด และปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ไม่ปรับเปลี่ยนระหว่างทาง นอกจากนี้ ควรกำหนดขาดทุนสูงสุดต่อวันและต่อเดือนไว้ด้วย เช่น หยุดเทรดเมื่อขาดทุน 3% ของพอร์ตต่อวัน หรือ 10% ต่อเดือน

  3. กระจายความเสี่ยงในการลงทุน

    ไม่ควรพึ่งพารายได้จากการเทรดเพียงอย่างเดียว ควรมีการกระจายการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ เช่น พันธบัตรรัฐบาล หรือเงินฝากประจำ เพื่อสร้างรายได้ที่มั่นคง และควรพิจารณาทำประกันสุขภาพและประกันชีวิตเพื่อลดความเสี่ยงด้านค่าใช้จ่าย

กลยุทธ์การเทรดที่เหมาะสมสำหรับมือใหม่

บทที่ 2
กลยุทธ์การเทรดที่เหมาะสมสำหรับมือใหม่

การเริ่มต้นเทรดเต็มเวลาต้องการกลยุทธ์ที่เหมาะสมกับประสบการณ์และเงินทุนของผู้เทรด

จากการศึกษาของสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน พบว่าเทรดเดอร์มือใหม่ที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่เริ่มต้นด้วยกลยุทธ์ที่เรียบง่ายและมีการจัดการความเสี่ยงที่ดี

ในส่วนนี้ เราจะแนะนำกลยุทธ์การเทรดที่เหมาะสมสำหรับผู้เริ่มต้น โดยเน้นที่การสร้างรากฐานที่มั่นคงสำหรับการเทรดในระยะยาว

เลือกตลาดและเครื่องมือที่เหมาะกับเงินทุน

การเลือกตลาดและเครื่องมือการเทรดที่เหมาะสมเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญสำหรับการเทรดเต็มเวลา

“คุณอาจกังวลว่าเงินทุนที่มีอยู่จะเพียงพอหรือไม่” การเลือกตลาดที่เหมาะสมกับเงินทุนจะช่วยลดความกังวลนี้ได้

จากข้อมูลของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เทรดเดอร์มือใหม่ควรพิจารณาปัจจัยต่อไปนี้ในการเลือกตลาด:

  1. สภาพคล่องของตลาด

    ตลาดที่มีสภาพคล่องสูงจะช่วยให้เข้า-ออกได้ง่าย และมีต้นทุนธุรกรรมต่ำ สำหรับเงินทุน 1-2 ล้านบาท ตลาดหุ้นไทยกลุ่ม SET100 หรือ Forex คู่เงินหลักเป็นตัวเลือกที่เหมาะสม

  2. ช่วงเวลาการเทรด

    เลือกตลาดที่มีช่วงเวลาซื้อขายสอดคล้องกับตารางประจำวันของผู้เทรด ตลาด Forex เปิด 24 ชั่วโมง ในขณะที่ตลาดหุ้นไทยเปิดเฉพาะช่วงกลางวัน

  3. ต้นทุนการเทรด

    พิจารณาค่าคอมมิชชัน ค่าสเปรด และค่าธรรมเนียมอื่นๆ การเทรดหุ้นมีต้นทุนค่าคอมมิชชันประมาณ 0.15-0.25% ในขณะที่ Forex มีต้นทุนหลักคือค่าสเปรด

สร้างแผนการเทรดที่ชัดเจนและวัดผลได้

การมีแผนการเทรดที่ชัดเจนเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้การเทรดเต็มเวลาประสบความสำเร็จ

“คุณอาจรู้สึกไม่มั่นใจว่าระบบการเทรดของตนเองจะทำกำไรได้อย่างสม่ำเสมอหรือไม่” การสร้างและทดสอบแผนการเทรดอย่างเป็นระบบจะช่วยเพิ่มความมั่นใจได้

องค์ประกอบสำคัญของแผนการเทรดที่ดีมีดังนี้:

  1. กำหนดเป้าหมายที่วัดผลได้

    ตั้งเป้าหมายผลตอบแทนรายเดือนที่เป็นไปได้จริง เช่น 3-5% ต่อเดือน หลีกเลี่ยงการตั้งเป้าหมายที่สูงเกินไปซึ่งอาจนำไปสู่การเทรดที่เสี่ยงเกินไป

  2. กำหนดกฎการเข้า-ออกที่ชัดเจน

    ระบุเงื่อนไขการเข้าเทรดและจุดทำกำไร/ขาดทุนให้ชัดเจน เช่น เข้าเทรดเมื่อราคาทะลุแนวต้านพร้อมปริมาณการซื้อขายสูง และออกเมื่อกำไร 2% หรือขาดทุน 1%

  3. วางแผนการจัดการเงินทุน

    ใช้หลักการบริหารความเสี่ยงที่ดี เช่น ไม่เสี่ยงเกิน 1-2% ของพอร์ตต่อการเทรด 1 ครั้ง สำหรับพอร์ต 1 ล้านบาท นั่นหมายถึงความเสี่ยงไม่เกิน 10,000-20,000 บาทต่อการเทรด

พัฒนาวินัยการเทรดผ่านการฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง

วินัยในการเทรดเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดที่แยกเทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จออกจากผู้ที่ล้มเหลว

“คุณอาจกังวลว่าจะควบคุมอารมณ์ไม่ได้เมื่อต้องเทรดด้วยเงินจำนวนมาก” การฝึกฝนวินัยการเทรดอย่างต่อเนื่องจะช่วยควบคุมอารมณ์ได้ดีขึ้น

วิธีการพัฒนาวินัยการเทรดที่มีประสิทธิภาพ:

  1. จดบันทึกการเทรดอย่างละเอียด

    บันทึกรายละเอียดทุกการเทรด ทั้งเหตุผลการเข้าเทรด ความรู้สึก และผลลัพธ์ การทบทวนบันทึกจะช่วยให้เห็นรูปแบบพฤติกรรมและจุดที่ต้องปรับปรุง

  2. ฝึกฝนผ่านบัญชีจำลอง

    ใช้บัญชีจำลองเพื่อทดสอบกลยุทธ์และฝึกควบคุมอารมณ์ แม้จะมีประสบการณ์แล้ว การทดสอบในบัญชีจำลองก่อนใช้เงินจริงยังเป็นสิ่งสำคัญ

  3. สร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม

    จัดเตรียมพื้นที่เทรดที่เงียบสงบ มีอุปกรณ์ครบครัน และปราศจากสิ่งรบกวน สภาพแวดล้อมที่ดีจะช่วยให้มีสมาธิและตัดสินใจได้ดีขึ้น

การสร้างรายได้ที่มั่นคงจากการเทรด

บทที่ 3
การสร้างรายได้ที่มั่นคงจากการเทรด

การสร้างรายได้ที่มั่นคงจากการเทรดเต็มเวลาต้องอาศัยการวางแผนที่รอบคอบและการจัดการที่เป็นระบบ

จากข้อมูลการสำรวจของสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน พบว่าเทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่มีการกำหนดเป้าหมายผลตอบแทนที่ชัดเจน วางแผนการจัดการภาษีและค่าธรรมเนียมอย่างรอบคอบ และมีแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือในการวิเคราะห์ตลาด

ในส่วนนี้ เราจะอธิบายวิธีการสร้างรายได้ที่มั่นคงจากการเทรดอย่างละเอียด เพื่อให้ผู้ที่กำลังวางแผนเทรดเต็มเวลาสามารถนำไปปฏิบัติได้จริง

กำหนดเป้าหมายผลตอบแทนที่สมเหตุสมผล

การกำหนดเป้าหมายผลตอบแทนที่สมเหตุสมผลเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญของการสร้างรายได้ที่มั่นคงจากการเทรด

จากการศึกษาของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พบว่าเทรดเดอร์มืออาชีพที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่มักตั้งเป้าหมายผลตอบแทนรายเดือนไว้ที่ 3-5% ของเงินทุน

“การตั้งเป้าหมายผลตอบแทนที่สูงเกินไปอาจนำไปสู่การเทรดที่เสี่ยงเกินควร” ดังนั้น ควรพิจารณาปัจจัยต่อไปนี้ในการกำหนดเป้าหมาย:

  1. คำนวณค่าใช้จ่ายที่จำเป็นต้องมี

    รวบรวมค่าใช้จ่ายประจำทั้งหมด เช่น ค่าที่พัก ค่าอาหาร ค่าเดินทาง ค่าประกัน และค่าใช้จ่ายส่วนตัวอื่นๆ เพื่อกำหนดรายได้ขั้นต่ำที่ต้องการต่อเดือน

  2. ประเมินความสามารถในการทำกำไรจากประวัติการเทรด

    วิเคราะห์ผลการเทรดย้อนหลังอย่างน้อย 6-12 เดือน เพื่อประเมินความสามารถในการทำกำไรที่แท้จริง และใช้เป็นฐานในการตั้งเป้าหมายที่เป็นไปได้

  3. เผื่อเงินสำรองสำหรับช่วงขาดทุน

    ควรมีเงินสำรองอย่างน้อย 6-12 เดือนของค่าใช้จ่าย เพื่อรองรับช่วงที่ผลการเทรดไม่เป็นไปตามเป้าหมาย

วางแผนการจัดการภาษีและค่าธรรมเนียม

การวางแผนภาษีและการจัดการค่าธรรมเนียมอย่างมีประสิทธิภาพเป็นปัจจัยสำคัญในการรักษาผลกำไรจากการเทรด

จากข้อมูลของกรมสรรพากร เทรดเดอร์ที่มีการวางแผนภาษีที่ดีสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายด้านภาษีได้ถึง 20-30% โดยไม่ผิดกฎหมาย

นี่คือสิ่งที่ควรพิจารณาในการวางแผนภาษีและค่าธรรมเนียม:

  1. ทำความเข้าใจภาระภาษีของเทรดเดอร์

    ศึกษากฎหมายภาษีที่เกี่ยวข้องกับการเทรด เช่น ภาษีกำไรจากการซื้อขายหลักทรัพย์ ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และข้อยกเว้นต่างๆ ที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้

  2. เปรียบเทียบค่าธรรมเนียมของโบรกเกอร์

    วิเคราะห์และเปรียบเทียบค่าธรรมเนียมการซื้อขาย ค่าธรรมเนียมการโอนเงิน และค่าบริการอื่นๆ ของโบรกเกอร์ต่างๆ เพื่อเลือกใช้บริการที่คุ้มค่าที่สุด

  3. จัดทำระบบบันทึกธุรกรรม

    สร้างระบบการบันทึกธุรกรรมที่ละเอียดและเป็นระเบียบ เพื่อติดตามรายรับ-รายจ่าย กำไร-ขาดทุน และค่าธรรมเนียมต่างๆ ซึ่งจะช่วยในการวางแผนภาษีและการยื่นแบบแสดงรายการภาษี

สร้างแหล่งข้อมูลเชิงลึกที่น่าเชื่อถือ

การมีแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือและทันสมัยเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจเทรดที่แม่นยำ

จากการศึกษาของสถาบันวิจัยการลงทุน พบว่าเทรดเดอร์ที่มีการวิเคราะห์ข้อมูลอย่างเป็นระบบและใช้แหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือมีโอกาสทำกำไรได้สูงกว่าถึง 40% เมื่อเทียบกับเทรดเดอร์ที่ใช้ข้อมูลทั่วไป

ต่อไปนี้คือวิธีการสร้างระบบข้อมูลที่น่าเชื่อถือ:

  1. รวบรวมแหล่งข้อมูลหลัก

    สมัครสมาชิกบริการข้อมูลการเงินที่น่าเชื่อถือ ติดตามรายงานวิจัยจากสถาบันการเงินชั้นนำ และเข้าร่วมชุมชนเทรดเดอร์มืออาชีพเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและมุมมอง

  2. พัฒนาระบบวิเคราะห์ข้อมูล

    สร้างระบบการวิเคราะห์ข้อมูลที่เป็นระบบ รวมถึงการใช้เครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคและการติดตามปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญ

  3. สร้างเครือข่ายผู้เชี่ยวชาญ

    เข้าร่วมสัมมนาและกิจกรรมการลงทุน สร้างความสัมพันธ์กับเทรดเดอร์มืออาชีพและผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรม เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และมุมมองที่เป็นประโยชน์

สรุป: การเปลี่ยนสู่เส้นทางเทรดเดอร์เต็มเวลาต้องวางแผนอย่างรอบคอบ

ในครั้งนี้ เราได้พูดถึงผู้ที่กำลังวางแผนลาออกจากงานประจำมาเทรดเต็มเวลา โดยกล่าวถึง

  1. ขั้นตอนสำคัญก่อนตัดสินใจเทรดเต็มเวลา
  2. กลยุทธ์การเทรดที่เหมาะสมสำหรับมือใหม่
  3. วิธีสร้างรายได้ที่มั่นคงจากการเทรด

โดยผู้เขียนได้แบ่งปันประสบการณ์จากการเทรด Forex มากกว่า 10 ปี

การเทรดเต็มเวลาต้องการการเตรียมพร้อมทั้งด้านการเงิน จิตใจ และความรู้ความสามารถ ผู้เขียนเข้าใจดีว่าการลาออกจากงานประจำเป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญที่อาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางการเงินในระยะยาว

จากประสบการณ์ที่ผ่านมา ผู้เขียนพบว่าเทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่ใช้เวลาเตรียมตัวอย่างน้อย 1-2 ปีก่อนตัดสินใจลาออกจากงานประจำ การเตรียมพร้อมอย่างรอบคอบจะช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสประสบความสำเร็จได้อย่างมาก

การที่ผู้อ่านมีประสบการณ์เทรดมาระยะหนึ่งและกำลังศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี แสดงให้เห็นว่ามีความรอบคอบและไม่ประมาท

ผู้เขียนเข้าใจดีถึงความกังวลเรื่องความไม่แน่นอนของรายได้และการขาดความมั่นคง แต่หากมีการวางแผนที่ดีและเตรียมพร้อมอย่างเพียงพอ การเทรดเต็มเวลาก็สามารถสร้างรายได้ที่มั่นคงได้

ขอให้ค่อยๆ เตรียมความพร้อมตามขั้นตอนที่แนะนำ ไม่ต้องรีบร้อน และเชื่อมั่นในศักยภาพของตัวเอง เส้นทางสู่การเป็นเทรดเดอร์มืออาชีพอาจไม่ง่าย แต่ความพยายามของผู้อ่านจะนำไปสู่อิสรภาพทางการเงินที่แท้จริง

ถ้าคุณชอบ โปรดแชร์ด้วยนะ!

ความคิดเห็น

コメントする

สารบัญ