ประกาศ: ขณะนี้ XM กำลังจัดโปรโมชั่นพิเศษอยู่

เริ่มจัดการเงินวันนี้ เพื่อชีวิตที่มั่งคั่ง

เริ่มจัดการเงินวันนี้ เพื่ออาชีพที่มั่งคั่ง

สำหรับมนุษย์เงินเดือนที่เพิ่งเริ่มทำงาน
“เงินทั้งเดือนหมดไปกับค่าใช้จ่ายและหนี้บัตรเครดิต ไม่รู้จะเริ่มเก็บเงินยังไงดี…”
“อยากมีเงินเก็บและปลดหนี้ แต่ก็ยังอยากใช้ชีวิตสบายๆ แบบเดิม…”

อย่างไรก็ตาม การจัดการเงินไม่ใช่เรื่องยาก แม้จะเพิ่งเริ่มทำงานและมีหนี้บัตรเครดิต ด้วยการเริ่มต้นจากความเข้าใจพื้นฐานและการลงมือทำทีละขั้น โดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ทั้งหมด ก็สามารถสร้างความมั่นคงทางการเงินได้

เริ่มต้นวางแผนการเงินตั้งแต่วันนี้ จะช่วยให้บรรลุเป้าหมายทางการเงินได้เร็วกว่าที่คิด

ในบทความนี้ เราจะอธิบายเกี่ยวกับการจัดการเงินสำหรับคนเริ่มทำงาน

  1. สาเหตุที่ทำให้มนุษย์เงินเดือนจัดการเงินไม่เป็น
  2. วิธีจัดการเงินแบบมืออาชีพ 3 ขั้นตอน
  3. การจัดการหนี้บัตรเครดิตอย่างฉลาด
  4. เป้าหมายทางการเงินที่ควรมีในวัยเริ่มทำงาน

โดยผู้เขียนจะแบ่งปันประสบการณ์จากการเป็นนักลงทุนและที่ปรึกษาทางการเงินกว่า 10 ปี

ผู้เขียนเข้าใจดีว่าการเริ่มต้นจัดการเงินอาจรู้สึกยากและท้าทาย โดยเฉพาะเมื่อมีภาระหนี้และค่าใช้จ่ายที่ต้องจัดการ แต่ด้วยวิธีการที่เหมาะสม ทุกคนสามารถสร้างความมั่นคงทางการเงินได้ โปรดใช้เป็นข้อมูลอ้างอิงเพื่อเริ่มต้นจัดการเงินของคุณ!

\แนะนำบัญชีที่ผู้เขียนที่นี่/
เปิดบัญชี XM รับโบนัส ฟรี
สารบัญ

ทำไมมนุษย์เงินเดือนถึงจัดการเงินไม่เป็น

บทที่ 1
ทำไมมนุษย์เงินเดือนถึงจัดการเงินไม่เป็น

เมื่อเริ่มทำงานใหม่ๆ หลายคนมักพบว่าเงินเดือนหมดเร็วกว่าที่คิด แม้จะมีรายได้ประจำแต่กลับไม่มีเงินเหลือเก็บ

สาเหตุสำคัญมาจากการขาดความรู้และทักษะในการจัดการเงิน รวมถึงพฤติกรรมการใช้จ่ายที่ไม่เหมาะสมในช่วงเริ่มต้นทำงาน ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาทางการเงินในระยะยาว

ลองมาดูข้อมูลและสาเหตุที่ทำให้มนุษย์เงินเดือนส่วนใหญ่จัดการเงินไม่เป็นกัน

สถิติคนรุ่นใหม่ที่มีปัญหาการเงิน

จากการสำรวจของธนาคารแห่งประเทศไทยในปี 2023 พบว่าคนรุ่นใหม่วัยเริ่มทำงาน มีปัญหาการเงิน โดยเฉพาะในด้านการออมและการก่อหนี้

  1. ไม่มีเงินออมเพียงพอสำหรับใช้จ่ายยามฉุกเฉิน 3-6 เดือน
  2. มีหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล
  3. ใช้จ่ายเกินตัวในช่วง 1-2 ปีแรกของการทำงาน

“คุณอาจกำลังกังวลว่าไม่สามารถจัดการเงินได้ดีพอ” แต่ความจริงแล้วนี่เป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในกลุ่มคนเริ่มทำงาน

สาเหตุหลักมาจาก:

  1. ขาดความรู้พื้นฐานด้านการเงิน

    ระบบการศึกษาไทยไม่ได้เน้นการสอนเรื่องการจัดการเงินส่วนบุคคล ทำให้หลายคนเริ่มทำงานโดยไม่มีความรู้พื้นฐานด้านการเงินที่จำเป็น

  2. รายได้ไม่สอดคล้องกับค่าครองชีพ

    เงินเดือนเริ่มต้นของคนจบใหม่มักไม่สอดคล้องกับค่าครองชีพในเมืองใหญ่ ทำให้หลายคนต้องพึ่งบัตรเครดิตหรือสินเชื่อส่วนบุคคล

  3. แรงกดดันทางสังคม

    สังคมโซเชียลมีเดียและการเปรียบเทียบกับเพื่อนร่วมงาน ทำให้เกิดแรงกดดันในการใช้จ่ายเพื่อรักษาภาพลักษณ์

สาเหตุที่ทำให้เงินหมดเร็วกว่าที่คิด

หลายคนมักประสบปัญหาเงินหมดก่อนสิ้นเดือน แม้จะมีรายได้ที่น่าจะเพียงพอ สาเหตุหลักมาจากพฤติกรรมการใช้จ่ายที่ไม่เหมาะสมดังนี้

  1. การใช้จ่ายโดยไม่มีการวางแผน

    การไม่ทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย และไม่มีการวางแผนการเงินล่วงหน้า ทำให้ไม่รู้ว่าใช้จ่ายเกินความจำเป็นในเรื่องใด

  2. การช้อปปิ้งออนไลน์แบบไม่ยั้ง

    ความสะดวกของการช้อปปิ้งออนไลน์และการโฆษณาที่ตรงกลุ่มเป้าหมาย ทำให้หลายคนซื้อสินค้าโดยไม่จำเป็นและเกินกำลัง

  3. การใช้บัตรเครดิตอย่างไม่ระมัดระวัง

    การผ่อนสินค้าหรือใช้บัตรเครดิตโดยไม่คำนึงถึงความสามารถในการชำระ นำไปสู่การเป็นหนี้สะสม

  4. ค่าใช้จ่ายด้านไลฟ์สไตล์สูง

    การรับประทานอาหารนอกบ้าน การสังสรรค์ และกิจกรรมบันเทิงต่างๆ มักมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้

  5. ไม่มีเงินสำรองฉุกเฉิน

    การไม่กันเงินสำรองไว้สำหรับค่าใช้จ่ายฉุกเฉิน ทำให้ต้องใช้บัตรเครดิตหรือกู้ยืมเมื่อมีเหตุจำเป็น

“คุณอาจรู้สึกว่าเงินเดือนไม่พอใช้” แต่ความจริงแล้ว การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้จ่ายเพียงเล็กน้อยก็สามารถช่วยให้มีเงินเหลือเก็บได้

3 ขั้นตอนจัดการเงินแบบมืออาชีพ

บทที่ 2
3 ขั้นตอนจัดการเงินแบบมืออาชีพ

คนรุ่นใหม่หลายคนมักมีปัญหาเรื่องเงินหมดก่อนสิ้นเดือน แต่การจัดการเงินอย่างมืออาชีพไม่ใช่เรื่องยาก

ในส่วนนี้ เราจะอธิบายถึง 3 ขั้นตอนง่ายๆ ที่จะช่วยให้คุณจัดการเงินได้อย่างมืออาชีพ โดยไม่ต้องเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ทั้งหมด

วิเคราะห์รายรับ-รายจ่ายอย่างละเอียด

“เงินหายไปไหนหมด?” เป็นคำถามที่หลายคนสงสัยเมื่อถึงสิ้นเดือน

การวิเคราะห์รายรับ-รายจ่ายอย่างละเอียดจะช่วยให้เห็นภาพรวมทางการเงินของตัวเองได้ชัดเจนขึ้น

  1. จดบันทึกค่าใช้จ่ายทุกรายการ

    เริ่มจากการจดทุกรายการที่จ่ายไป ไม่ว่าจะเป็นค่ากาแฟ 60 บาท หรือค่าอาหาร 80 บาท การจดบันทึกจะทำให้เห็นว่าเงินหมดไปกับอะไรบ้าง

  2. แยกหมวดหมู่ค่าใช้จ่าย

    แบ่งค่าใช้จ่ายเป็นหมวดหมู่ เช่น ค่าเช่า ค่าอาหาร ค่าเดินทาง ค่าความบันเทิง เพื่อให้เห็นว่าเงินส่วนใหญ่หมดไปกับอะไร

  3. หาจุดรั่วไหลทางการเงิน

    วิเคราะห์ว่ามีค่าใช้จ่ายใดที่ไม่จำเป็นหรือมากเกินไป เช่น ค่าสมาชิกที่ไม่ได้ใช้ หรือการสั่งอาหารเดลิเวอรี่บ่อยเกินไป

สร้างระบบออมเงินอัตโนมัติ

ระบบออมเงินอัตโนมัติจะช่วยให้การเก็บเงินเป็นเรื่องง่ายและไม่ต้องใช้วินัยมากนัก

ในยุคดิจิทัล การสร้างระบบออมเงินอัตโนมัติทำได้ง่ายผ่านแอปพลิเคชันของธนาคาร

  1. ตั้งระบบหักเงินออมอัตโนมัติ

    ตั้งค่าให้ธนาคารหักเงินเข้าบัญชีออมทรัพย์ทันทีที่เงินเดือนเข้า ก่อนที่จะนำไปใช้จ่ายอย่างอื่น

  2. แยกบัญชีเงินใช้และเงินเก็บ

    เปิดบัญชีแยกระหว่างเงินใช้และเงินเก็บ เพื่อไม่ให้นำเงินเก็บมาใช้โดยไม่จำเป็น

  3. ใช้แอปพลิเคชันช่วยออม

    หลายธนาคารมีฟีเจอร์ปัดเศษเงินจากการใช้จ่ายเข้าบัญชีออมทรัพย์ หรือออมเงินตามพฤติกรรมการใช้จ่าย

การจัดการหนี้บัตรเครดิตอย่างฉลาด

บทที่ 3
การจัดการหนี้บัตรเครดิตอย่างฉลาด

การมีหนี้บัตรเครดิตไม่ใช่เรื่องน่าอาย แต่การปล่อยทิ้งไว้โดยไม่จัดการอย่างเป็นระบบอาจส่งผลเสียต่ออนาคตทางการเงินของคุณ

ต่อไปนี้คือวิธีการจัดการหนี้บัตรเครดิตอย่างเป็นระบบที่จะช่วยให้คุณหลุดพ้นจากวงจรหนี้ได้อย่างยั่งยืน

จัดลำดับความสำคัญในการชำระหนี้

การจัดลำดับความสำคัญในการชำระหนี้เป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญในการจัดการหนี้บัตรเครดิต”คุณอาจรู้สึกสับสนว่าควรเริ่มชำระหนี้บัตรไหนก่อน”

ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินแนะนำให้ใช้วิธี “หิมะละลาย” (Debt Avalanche) ซึ่งเป็นการชำระหนี้ที่มีดอกเบี้ยสูงที่สุดก่อนเนื่องจากบัตรเครดิตมักมีดอกเบี้ย 16-20% ต่อปี การชำระหนี้บัตรเครดิตจึงควรเป็นลำดับแรก

  1. ทำรายการหนี้ทั้งหมด

    จดบันทึกยอดหนี้ อัตราดอกเบี้ย และค่างวดขั้นต่ำของบัตรเครดิตทุกใบการมองเห็นภาพรวมจะช่วยให้วางแผนได้ดีขึ้น

  2. จัดลำดับตามอัตราดอกเบี้ย

    เรียงลำดับบัตรที่มีดอกเบี้ยสูงสุดไปต่ำสุดโดยทั่วไปบัตรที่มียอดค้างชำระนานจะมีดอกเบี้ยสูงกว่า

  3. กำหนดเงินที่จะใช้ชำระหนี้

    จัดสรรเงินอย่างน้อย 30% ของรายได้สำหรับการชำระหนี้ถ้าเป็นไปได้ควรเพิ่มเป็น 40-50% เพื่อปลดหนี้เร็วขึ้น

เทคนิคการต่อรองดอกเบี้ยกับธนาคาร

หลายคนไม่ทราบว่าสามารถต่อรองอัตราดอกเบี้ยกับธนาคารได้”คุณอาจคิดว่าธนาคารจะไม่ยอมลดดอกเบี้ยให้”แต่ในความเป็นจริง ธนาคารมักมีโปรแกรมช่วยเหลือลูกค้าที่มีประวัติการชำระเงินดี

  1. เตรียมข้อมูลก่อนติดต่อธนาคาร

    รวบรวมประวัติการชำระเงิน หลักฐานรายได้ และข้อเสนอจากธนาคารอื่นข้อมูลเหล่านี้จะช่วยเพิ่มโอกาสในการต่อรอง

  2. เลือกจังหวะเวลาที่เหมาะสม

    ติดต่อธนาคารหลังจากชำระเงินตรงเวลามาแล้ว 6-12 เดือนช่วงนี้ธนาคารมักยินดีเจรจามากกว่า

  3. ขอโปรแกรมพิเศษ

    สอบถามเกี่ยวกับโปรแกรมพักชำระหนี้ การรวมหนี้ หรือการปรับโครงสร้างหนี้บางธนาคารอาจมีโปรแกรมลดดอกเบี้ยสำหรับลูกค้าที่ต้องการปลดหนี้

วิธีสร้างวินัยการใช้บัตรเครดิต

การมีวินัยในการใช้บัตรเครดิตเป็นกุญแจสำคัญในการป้องกันไม่ให้กลับไปเป็นหนี้อีก”คุณอาจกังวลว่าจะควบคุมการใช้จ่ายไม่ได้”แต่ด้วยระบบที่ดี คุณสามารถใช้บัตรเครดิตอย่างชาญฉลาดได้

  1. ตั้งวงเงินใช้จ่ายรายเดือน

    กำหนดวงเงินไม่เกิน 30% ของรายได้ติดตามยอดใช้จ่ายผ่านแอปของธนาคารหรือแอปจดบันทึกค่าใช้จ่าย

  2. ใช้เฉพาะรายการที่วางแผนไว้

    หลีกเลี่ยงการใช้บัตรเครดิตแบบกระทันหันวางแผนค่าใช้จ่ายล่วงหน้าและชำระเต็มจำนวนทุกเดือน

  3. สร้างระบบเตือนการชำระเงิน

    ตั้งการแจ้งเตือนล่วงหน้า 5-7 วันก่อนถึงกำหนดชำระเตรียมเงินไว้ในบัญชีให้พร้อมเสมอ

  4. เก็บบัตรไว้ที่บ้านเมื่อไม่จำเป็น

    พกเฉพาะเงินสดที่วางแผนใช้จ่ายในแต่ละวันนำบัตรเครดิตติดตัวเฉพาะเมื่อมีแผนใช้จ่ายที่กำหนดไว้แล้วเท่านั้น

  5. หลีกเลี่ยงการกดเงินสดล่วงหน้า

    การกดเงินสดจากบัตรเครดิตมีดอกเบี้ยสูงถึง 20-28% ต่อปีควรใช้เงินเก็บฉุกเฉินแทนการกดเงินสดจากบัตร

  6. เลือกบัตรที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์

    พิจารณาสิทธิประโยชน์ที่สอดคล้องกับการใช้จ่ายประจำเช่น คะแนนสะสมจากร้านอาหาร หรือส่วนลดค่าน้ำมันการได้สิทธิประโยชน์ที่ใช้ได้จริงจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในระยะยาว

การมีวินัยทางการเงินไม่ได้หมายถึงการอดออมจนทรมานเพียงวางแผนการใช้จ่ายอย่างรอบคอบ ตั้งระบบเตือนที่มีประสิทธิภาพ และใช้บัตรเครดิตเป็นเครื่องมือในการสร้างประโยชน์ทางการเงินคุณก็จะสามารถใช้บัตรเครดิตได้อย่างชาญฉลาดและปลอดภัย

เป้าหมายการเงินที่ควรมีในวัยเริ่มทำงาน

บทที่ 4
เป้าหมายการเงินที่ควรมีในวัยเริ่มทำงาน

การวางเป้าหมายทางการเงินที่ชัดเจนเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของการจัดการเงินที่ดี

แม้จะมีรายได้จำกัดในช่วงเริ่มทำงาน แต่การมีเป้าหมายทางการเงินที่ชัดเจนจะช่วยให้คุณมีแรงจูงใจในการจัดการเงินอย่างมีวินัย และมีทิศทางในการพัฒนาความมั่นคงทางการเงินในระยะยาว

ต่อไปนี้คือเป้าหมายทางการเงินที่สำคัญที่คนวัยเริ่มทำงานควรมี

เงินฉุกเฉิน 6 เดือนสำหรับความมั่นคง

เงินฉุกเฉินคือเงินเก็บที่พร้อมใช้ได้ทันทีเมื่อเกิดเหตุไม่คาดฝัน

“คุณอาจกำลังกังวลว่าจะเก็บเงินฉุกเฉินได้อย่างไรในเมื่อมีรายจ่ายมากอยู่แล้ว”

ต่อไปนี้คือวิธีการสร้างเงินฉุกเฉินอย่างเป็นระบบ:

  1. คำนวณค่าใช้จ่ายจำเป็นต่อเดือน

    ให้รวมค่าเช่า ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าอาหาร ค่าเดินทาง และค่าใช้จ่ายประจำอื่นๆ แล้วคูณด้วย 6 เพื่อกำหนดเป้าหมายเงินฉุกเฉิน

  2. เริ่มออมเงินฉุกเฉินตั้งแต่เงินเดือนแรก

    แม้จะเริ่มจากจำนวนเล็กน้อย เช่น 5% ของรายได้ แต่การเริ่มต้นตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วยสร้างนิสัยการออมที่ดี

  3. แยกบัญชีเงินฉุกเฉินออกจากบัญชีใช้จ่าย

    เปิดบัญชีออมทรัพย์แยกต่างหาก และตั้งค่าโอนเงินอัตโนมัติทันทีที่ได้เงินเดือน เพื่อป้องกันการนำไปใช้ผิดวัตถุประสงค์

เงินดาวน์รถและที่อยู่อาศัย

การมีรถและที่อยู่อาศัยเป็นเป้าหมายสำคัญของคนวัยทำงาน

“คุณอาจรู้สึกว่าการเก็บเงินดาวน์เป็นเรื่องยาก แต่การวางแผนที่ดีจะช่วยให้บรรลุเป้าหมายได้เร็วขึ้น”

ต่อไปนี้คือวิธีการวางแผนเก็บเงินดาวน์อย่างเป็นระบบ:

  1. กำหนดเป้าหมายเงินดาวน์ที่ชัดเจน

    โดยทั่วไปเงินดาวน์รถยนต์อยู่ที่ 20-25% และที่อยู่อาศัย 10-20% ของราคา ให้คำนวณตัวเลขที่ชัดเจนเพื่อตั้งเป้าหมาย

  2. แบ่งเป้าหมายเป็นรายเดือน

    หากต้องการเก็บเงินดาวน์ใน 2 ปี ให้หารยอดเงินดาวน์ด้วย 24 เดือน เพื่อกำหนดจำนวนเงินที่ต้องเก็บต่อเดือน

  3. ใช้บัญชีที่ได้ดอกเบี้ยสูงกว่าบัญชีออมทรัพย์ทั่วไป

    พิจารณาบัญชีเงินฝากประจำหรือกองทุนตลาดเงินที่มีความเสี่ยงต่ำ เพื่อเพิ่มผลตอบแทนจากเงินออม

การลงทุนเพื่ออนาคตระยะยาว

การลงทุนเป็นวิธีสร้างความมั่งคั่งระยะยาวที่มีประสิทธิภาพ

ข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยระบุว่า นักลงทุนที่เริ่มต้นตั้งแต่อายุน้อยมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่าถึง 3 เท่าเมื่อเทียบกับผู้ที่เริ่มลงทุนในวัย 35 ปีขึ้นไป

“คุณอาจกังวลว่าการลงทุนมีความเสี่ยงและซับซ้อนเกินไป แต่การเริ่มต้นแบบค่อยเป็นค่อยไปจะช่วยสร้างความมั่นใจได้”

ต่อไปนี้คือขั้นตอนการเริ่มต้นลงทุนสำหรับมือใหม่:

  1. เริ่มจากกองทุนรวมที่มีความเสี่ยงต่ำ

    กองทุนรวมตราสารหนี้หรือกองทุนผสมที่มีสัดส่วนตราสารหนี้สูงเหมาะสำหรับผู้เริ่มต้น

  2. ลงทุนแบบสม่ำเสมอด้วยจำนวนเงินคงที่

    การลงทุนแบบ DCA (Dollar-Cost Averaging) โดยลงทุนเดือนละเท่าๆ กัน จะช่วยลดความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาด

  3. ใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษี

    การลงทุนในกองทุน RMF หรือ SSF นอกจากจะช่วยสร้างวินัยการออมระยะยาวแล้ว ยังได้สิทธิลดหย่อนภาษีด้วย

สรุป: การจัดการเงินเริ่มได้ง่ายๆ แม้เพิ่งเริ่มทำงาน

ในครั้งนี้ เราได้พูดถึงผู้ที่เริ่มทำงานและต้องการจัดการเงินให้เป็นระบบ โดยกล่าวถึง

  1. สาเหตุที่มนุษย์เงินเดือนมักจัดการเงินไม่เป็น
  2. วิธีจัดการเงินแบบมืออาชีพ 3 ขั้นตอน
  3. การจัดการหนี้บัตรเครดิตอย่างชาญฉลาด
  4. เป้าหมายทางการเงินที่ควรมีในวัยเริ่มทำงาน

โดยผู้เขียนได้แบ่งปันประสบการณ์ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนกว่า 10 ปี

การจัดการเงินที่ดีไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนพฤติกรรมทั้งหมดในคราวเดียว เริ่มจากความเข้าใจพื้นฐานและการลงมือทำทีละขั้น ก็สามารถสร้างความมั่นคงทางการเงินได้

การเริ่มต้นวางแผนการเงินตั้งแต่วันนี้จะช่วยให้บรรลุเป้าหมายได้เร็วกว่าการรอให้มีเงินมากกว่านี้ ลองเริ่มจากการทำความเข้าใจรายรับ-รายจ่าย และวางแผนการใช้เงินอย่างชาญฉลาด

การที่คุณอ่านมาจนถึงตรงนี้แสดงให้เห็นว่ามีความตั้งใจจริงที่จะจัดการการเงินให้ดีขึ้น

ผู้เขียนเข้าใจดีว่าการเริ่มต้นจัดการเงินอาจรู้สึกยากและท้าทาย โดยเฉพาะเมื่อมีหนี้บัตรเครดิตและค่าใช้จ่ายที่ต้องจัดการ

แต่ขอให้เชื่อมั่นว่าทุกคนสามารถจัดการเงินได้ดีขึ้นได้ หากเริ่มต้นวางแผนและลงมือทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป มาเริ่มสร้างความมั่นคงทางการเงินไปด้วยกันนะคะ

ถ้าคุณชอบ โปรดแชร์ด้วยนะ!

ความคิดเห็น

コメントする

สารบัญ