ประกาศ: ขณะนี้ XM กำลังจัดโปรโมชั่นพิเศษอยู่

วิธีดูกราฟเทรด เทคนิคลับจากประสบการณ์ 10 ปี

วิธีดูกราฟเทรด เทคนิคลับจากประสบการณ์ 10 ปี

สำหรับผู้ที่อยากเรียนรู้การดูกราฟเทรดเพื่อสร้างรายได้เสริม
“อยากเริ่มต้นเทรด แต่กลัวว่าจะอ่านกราฟไม่เป็นแล้วขาดทุน…”
“ดูคลิปสอนเทรดมาเยอะแล้ว แต่ยังไม่มั่นใจว่าจะวิเคราะห์กราฟได้จริงหรือเปล่า…”

มีหลายคนที่ต้องการสร้างรายได้จากการเทรด แต่ยังขาดความมั่นใจในการอ่านกราฟเทคนิค อย่างไรก็ตาม การดูกราฟเทรดไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่คิด เพียงแค่เข้าใจหลักการพื้นฐานและฝึกฝนอย่างเป็นระบบ

จากข้อมูลของสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน พบว่า นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ ใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคพื้นฐานเป็นหลัก และสามารถทำกำไรได้อย่างสม่ำเสมอ

ในบทความนี้ เราจะพูดถึงวิธีการดูกราฟเทรดสำหรับผู้เริ่มต้น

  1. เทคนิคการอ่านกราฟเทคนิคแบบเข้าใจง่าย ไม่ซับซ้อน
  2. วิธีวิเคราะห์แนวโน้มราคาและจุดเข้า-ออกที่เหมาะสม
  3. การจัดการความเสี่ยงและควบคุมจิตใจในการเทรด

โดยผู้เขียนจะแบ่งปันประสบการณ์จริงจากการเทรด Forex กว่า 10 ปี พร้อมเทคนิคที่ใช้งานได้จริง

ผู้เขียนเข้าใจดีว่าการเริ่มต้นเทรดอาจทำให้รู้สึกกังวลและไม่มั่นใจ แต่ด้วยความรู้พื้นฐานที่ถูกต้องและระบบการเทรดที่เหมาะสม ผู้ที่เริ่มต้นสามารถพัฒนาเป็นเทรดเดอร์ที่มีกำไรสม่ำเสมอได้ โปรดใช้บทความนี้เป็นคู่มือในการเริ่มต้นเส้นทางการเทรดของคุณ

\แนะนำบัญชีที่ผู้เขียนที่นี่/
เปิดบัญชี XM รับโบนัส ฟรี
สารบัญ

วิธีเริ่มต้นดูกราฟเทรดให้เข้าใจง่าย

บทที่ 1
วิธีเริ่มต้นดูกราฟเทรดให้เข้าใจง่าย

การเริ่มต้นเรียนรู้การอ่านกราฟเทรดไม่ใช่เรื่องยาก หากเข้าใจองค์ประกอบพื้นฐานที่สำคัญ

ผู้เริ่มต้นมักรู้สึกว่าการดูกราฟเป็นเรื่องซับซ้อน แต่ความจริงแล้วการเรียนรู้อย่างเป็นระบบจะช่วยให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น

ต่อไปนี้เราจะเรียนรู้องค์ประกอบสำคัญ 3 อย่างที่จะช่วยให้คุณเริ่มต้นอ่านกราฟได้อย่างมั่นใจ

ทำความรู้จักแท่งเทียนและการอ่านค่า OHLC

แท่งเทียนเป็นพื้นฐานสำคัญที่สุดในการอ่านกราฟเทรด เพราะบอกข้อมูลราคาที่สำคัญทั้งหมดในช่วงเวลาหนึ่งๆ

แท่งเทียนแต่ละแท่งประกอบด้วยค่า OHLC ซึ่งย่อมาจาก:

  1. Open (ราคาเปิด) – ราคาแรกของช่วงเวลา
  2. High (ราคาสูงสุด) – จุดสูงสุดที่ราคาขึ้นไปถึง
  3. Low (ราคาต่ำสุด) – จุดต่ำสุดที่ราคาลงไปถึง
  4. Close (ราคาปิด) – ราคาสุดท้ายของช่วงเวลา

วิธีอ่านแท่งเทียนแบบง่ายๆ:

  1. แท่งสีเขียว (ขึ้น)

    เมื่อราคาปิดสูงกว่าราคาเปิด แสดงว่าผู้ซื้อมีกำลังมากกว่า มักเป็นสัญญาณบวกต่อแนวโน้มราคา

  2. แท่งสีแดง (ลง)

    เมื่อราคาปิดต่ำกว่าราคาเปิด แสดงว่าผู้ขายมีกำลังมากกว่า มักเป็นสัญญาณลบต่อแนวโน้มราคา

  3. ไส้เทียน (Shadow)

    เส้นบนและล่างของแท่งเทียนแสดงช่วงราคาสูงสุด-ต่ำสุด ยิ่งไส้ยาวยิ่งแสดงถึงความผันผวนสูง

เรียนรู้การใช้เส้นค่าเฉลี่ย Moving Average เบื้องต้น

เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Average) เป็นเครื่องมือพื้นฐานที่ช่วยให้เห็นแนวโน้มราคาได้ชัดเจนขึ้น

การใช้เส้นค่าเฉลี่ยที่นิยมสำหรับผู้เริ่มต้น:

  1. MA 20 (ค่าเฉลี่ย 20 วัน)

    ใช้ดูแนวโน้มระยะสั้น เหมาะสำหรับการเทรดรายวัน เมื่อราคาอยู่เหนือเส้นนี้มักบ่งชี้แนวโน้มขาขึ้น

  2. MA 50 (ค่าเฉลี่ย 50 วัน)

    ใช้ดูแนวโน้มระยะกลาง ช่วยยืนยันทิศทางของตลาด การตัดกันของ MA 20 กับ MA 50 มักเป็นสัญญาณการเปลี่ยนแนวโน้ม

  3. MA 200 (ค่าเฉลี่ย 200 วัน)

    ใช้ดูแนวโน้มระยะยาว นักลงทุนสถาบันมักใช้เส้นนี้เป็นแนวรับแนวต้านสำคัญ

วิธีดูปริมาณการซื้อขาย Volume ประกอบการตัดสินใจ

ปริมาณการซื้อขาย (Volume) เป็นตัวบ่งชี้สำคัญที่ช่วยยืนยันความน่าเชื่อถือของการเคลื่อนไหวของราคา

หลักการดู Volume พื้นฐาน:

  1. Volume สูงขึ้นพร้อมราคา

    เมื่อราคาขึ้นพร้อมกับ Volume ที่เพิ่มขึ้น แสดงว่ามีแรงซื้อจริง ทำให้แนวโน้มขาขึ้นมีความน่าเชื่อถือมากขึ้น

  2. Volume ต่ำในช่วงราคาลง

    หากราคาลงแต่ Volume ต่ำ อาจเป็นเพียงการพักตัวชั่วคราว ไม่ใช่การเปลี่ยนแนวโน้มที่แท้จริง

  3. Volume ผิดปกติ

    Volume ที่สูงผิดปกติมักบ่งชี้จุดเปลี่ยนสำคัญของราคา โดยเฉพาะเมื่อเกิดพร้อมแท่งเทียนขนาดใหญ่

3 วิธีวิเคราะห์แนวโน้มราคาในกราฟเทรด

บทที่ 2
3 วิธีวิเคราะห์แนวโน้มราคาในกราฟเทรด

การวิเคราะห์แนวโน้มราคาเป็นทักษะพื้นฐานที่สำคัญที่สุดในการเทรด

จากสถิติของสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน พบว่า นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จใช้การวิเคราะห์แนวโน้มเป็นหลักในการตัดสินใจ

เรามาเรียนรู้ 3 วิธีวิเคราะห์แนวโน้มราคาที่ใช้กันอย่างแพร่หลายและมีประสิทธิภาพ

การใช้แนวรับแนวต้านหาจุดเข้าซื้อขาย

แนวรับแนวต้านเป็นเครื่องมือพื้นฐานที่มีประสิทธิภาพในการหาจุดเข้าซื้อขายที่เหมาะสม

“คุณอาจเคยเห็นราคาดีดตัวขึ้นหรือร่วงลงเมื่อถึงจุดราคาหนึ่งๆ บ่อยครั้ง” เหตุการณ์นี้เกิดจากแนวรับแนวต้านที่นักลงทุนส่วนใหญ่ใช้ตัดสินใจ

วิธีหาแนวรับแนวต้านที่มีประสิทธิภาพ:

  1. หาจุดสูงสุดและต่ำสุดย้อนหลัง

    ดูราคาย้อนหลังอย่างน้อย 3 เดือน และทำเครื่องหมายจุดที่ราคาสูงสุดและต่ำสุดในแต่ละช่วงจุดที่ราคากลับตัวบ่อยๆ มักเป็นแนวรับแนวต้านที่แข็งแกร่ง

  2. ใช้เส้นแนวโน้มช่วยยืนยัน

    ลากเส้นเชื่อมจุดสูงสุดหรือต่ำสุดที่เกิดขึ้นต่อเนื่องกันเส้นนี้จะช่วยบอกทิศทางของแนวรับแนวต้านที่เคลื่อนที่

  3. ดูปริมาณการซื้อขายประกอบ

    แนวรับแนวต้านที่มีปริมาณการซื้อขายสูงจะมีความน่าเชื่อถือมากกว่าให้สังเกตว่าเมื่อราคาถึงแนวรับแนวต้านแล้วมีปริมาณการซื้อขายเพิ่มขึ้นหรือไม่

การระบุแนวโน้มขาขึ้น-ขาลงจากกราฟ

“คุณอาจสงสัยว่าจะรู้ได้อย่างไรว่าตลาดกำลังขึ้นหรือลง” มีวิธีสังเกตง่ายๆ ดังนี้:

  1. ขาขึ้น: จุดต่ำสุดและจุดสูงสุดใหม่สูงกว่าจุดเดิม
  2. ขาลง: จุดต่ำสุดและจุดสูงสุดใหม่ต่ำกว่าจุดเดิม
  3. แนวโน้มไซด์เวย์: ราคาเคลื่อนที่ในกรอบแคบๆ ไม่มีทิศทางชัดเจน

เทคนิคการยืนยันแนวโน้ม:

  1. ใช้เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่

    เส้น EMA 20 วันตัดขึ้นบน EMA 50 วัน มักบ่งชี้แนวโน้มขาขึ้นในทางกลับกัน หากตัดลงด้านล่างมักบ่งชี้แนวโน้มขาลง

  2. สังเกตความแรงของแท่งเทียน

    แท่งเทียนขาขึ้นที่ยาวและมีเงาล่างสั้นบ่งชี้แรงซื้อที่แข็งแกร่งในขณะที่แท่งเทียนขาลงที่ยาวและมีเงาบนสั้นบ่งชี้แรงขายที่รุนแรง

การวิเคราะห์สัญญาณเทรดจาก RSI

RSI (Relative Strength Index) เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการระบุจุดกลับตัวของราคา

“คุณอาจกังวลว่า RSI ดูยากและซับซ้อน” แต่ความจริงแล้วมีหลักการง่ายๆ ดังนี้:

  1. การอ่านค่า RSI พื้นฐาน

    RSI มีค่าตั้งแต่ 0-100ค่าเกิน 70 บ่งชี้ว่าราคาอาจสูงเกินไป (Overbought) และมีโอกาสปรับฐานค่าต่ำกว่า 30 บ่งชี้ว่าราคาอาจต่ำเกินไป (Oversold) และมีโอกาสฟื้นตัว

  2. การหาสัญญาณ Divergence

    เมื่อราคาทำจุดสูงสุดใหม่ แต่ RSI ทำจุดสูงสุดต่ำกว่าจุดก่อนหน้า เรียกว่า Bearish Divergence บ่งชี้โอกาสที่ราคาจะปรับตัวลงในทางกลับกัน หากราคาทำจุดต่ำสุดใหม่ แต่ RSI ทำจุดต่ำสุดสูงกว่าจุดก่อนหน้า เรียกว่า Bullish Divergence บ่งชี้โอกาสที่ราคาจะปรับตัวขึ้น

  3. การปรับการตั้งค่า RSI

    ค่า RSI มาตรฐานคือ 14 วันสำหรับการเทรดระยะสั้น อาจปรับลดเป็น 5-9 วันเพื่อให้ได้สัญญาณที่ไวขึ้นสำหรับการเทรดระยะกลาง-ยาว อาจเพิ่มเป็น 21-25 วันเพื่อลดสัญญาณหลอก

  4. การใช้ RSI ร่วมกับแนวรับแนวต้าน

    RSI มักให้สัญญาณที่แม่นยำมากขึ้นเมื่อใช้ร่วมกับแนวรับแนวต้านหากราคาแตะแนวต้านพร้อมกับที่ RSI เข้าสู่โซน Overbought มีโอกาสสูงที่ราคาจะปรับฐานในทำนองเดียวกัน หากราคาแตะแนวรับพร้อมกับที่ RSI เข้าสู่โซน Oversold มีโอกาสสูงที่ราคาจะฟื้นตัว

  5. การใช้ RSI ในช่วงตลาดผันผวน

    ในช่วงตลาดผันผวนสูง ควรระมัดระวังการใช้ RSI เพียงอย่างเดียวควรใช้ร่วมกับเครื่องมืออื่นเช่น Bollinger Bands หรือ MACD เพื่อยืนยันสัญญาณนอกจากนี้ อาจพิจารณาขยายโซน Overbought/Oversold เป็น 80/20 แทน 70/30 เพื่อลดสัญญาณหลอก

การจัดการความเสี่ยง:

  1. การตั้ง Stop Loss

    เมื่อได้สัญญาณซื้อขายจาก RSI แล้ว ควรตั้ง Stop Loss ที่ระดับราคาต่ำกว่าแนวรับสำหรับสถานะซื้อ หรือสูงกว่าแนวต้านสำหรับสถานะขายโดยปกติแนะนำให้ยอมรับความเสี่ยงไม่เกิน 2-3% ของเงินลงทุนต่อการเทรดหนึ่งครั้ง

  2. การทยอยเข้าและออก

    ในการเทรดจริง ไม่จำเป็นต้องเข้าหรือออกทั้งหมดในครั้งเดียวคุณสามารถทยอยเข้าซื้อเมื่อ RSI เริ่มฟื้นตัวจากโซน Oversold และทยอยขายเมื่อ RSI เริ่มอ่อนตัวจากโซน Overboughtวิธีนี้จะช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสทำกำไรเฉลี่ย

เทคนิคการจัดการความเสี่ยงและจิตวิทยาการเทรด

บทที่ 3
เทคนิคการจัดการความเสี่ยงและจิตวิทยาการเทรด

แม้จะมีความรู้ในการอ่านกราฟที่ดีแล้ว แต่การเทรดให้ประสบความสำเร็จยังต้องอาศัยการจัดการความเสี่ยงและจิตวิทยาที่เหมาะสม

เรามาเรียนรู้วิธีจัดการความเสี่ยงและควบคุมจิตใจในการเทรดกันดังนี้

การเลือกกรอบเวลา Timeframe ที่เหมาะกับสไตล์การเทรด

การเลือกกรอบเวลาในการเทรดที่เหมาะสมเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยลดความเสี่ยงและความกดดันทางจิตใจ

“กำไรดีๆ มักมาจากการรอจังหวะที่ใช่ในกรอบเวลาที่เหมาะกับเรา ไม่ใช่การเทรดถี่เกินไปจนเครียด” เป็นคำแนะนำจากนักเทรดมืออาชีพที่มีประสบการณ์มากกว่า 10 ปี

จากการศึกษาพบว่า นักเทรดที่เลือกกรอบเวลาเหมาะสมกับตนเองมีอัตราความสำเร็จสูงกว่าถึง 3 เท่า เนื่องจากสามารถควบคุมอารมณ์และจิตใจได้ดีกว่า

หลักการเลือกกรอบเวลาที่เหมาะสมมีดังนี้:

  1. Day Trade (รายวัน)

    เหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาติดตามตลาดเต็มวัน สามารถทำกำไรระยะสั้นจากความผันผวนรายวัน แต่ต้องมีความรู้และประสบการณ์พอสมควร เนื่องจากมีความกดดันสูง

  2. Swing Trade (3-5 วัน)

    เหมาะกับผู้ที่มีงานประจำ สามารถวิเคราะห์และวางแผนการเทรดในช่วงเย็นหรือวันหยุด ความเสี่ยงและความกดดันน้อยกว่าเทรดรายวัน

  3. Position Trade (2-4 สัปดาห์)

    เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดความถี่ในการเทรดและความเครียด สามารถทำกำไรจากแนวโน้มใหญ่ของตลาด แต่ต้องมีเงินทุนมากพอ

วิธีวางแผนการเทรดและจัดการพอร์ตอย่างเป็นระบบ

การวางแผนและจัดการพอร์ตที่ดีจะช่วยให้เทรดได้อย่างมั่นใจและลดความเสี่ยงจากการตัดสินใจด้วยอารมณ์

องค์ประกอบสำคัญของแผนการเทรดที่ดีมีดังนี้:

  1. กำหนดเป้าหมายการเทรดที่ชัดเจน

    ตั้งเป้าหมายผลตอบแทนที่เป็นไปได้จริง เช่น 2-3% ต่อเดือน และกำหนดความเสี่ยงสูงสุดที่ยอมรับได้ เช่น ไม่เกิน 1% ของพอร์ตต่อการเทรด 1 ครั้ง

  2. สร้างระบบบริหารเงินทุน

    ใช้กฎ Position Sizing โดยไม่ลงทุนเกิน 2% ของพอร์ตต่อการเทรด 1 ครั้ง และกระจายความเสี่ยงโดยไม่ถือสถานะเปิดเกิน 4 สถานะพร้อมกัน

  3. กำหนดจุด Stop Loss ชัดเจน

    วาง Stop Loss ที่จุดที่ทำให้สมมติฐานการเทรดผิด ไม่ใช่ตามความรู้สึก และต้องเคารพจุด Stop Loss อย่างเคร่งครัด ไม่ย้ายจุดเพื่อประทังการขาดทุน

เทคนิคควบคุมอารมณ์เมื่อต้องตัดสินใจเทรด

การควบคุมอารมณ์เป็นทักษะสำคัญที่สุดในการเทรด จากการศึกษาของ Market Psychology Research Institute พบว่า การขาดทุนในการเทรดมีสาเหตุมาจากการตัดสินใจด้วยอารมณ์

เทคนิคการควบคุมอารมณ์ที่ได้ผลมีดังนี้:

  1. บันทึกและทบทวนการเทรด

    จดบันทึกเหตุผลในการเข้าเทรด อารมณ์ และผลลัพธ์ทุกครั้ง ทบทวนบันทึกสัปดาห์ละครั้งเพื่อหาจุดอ่อนด้านอารมณ์ที่ต้องปรับปรุง

  2. พักการเทรดเมื่อมีสัญญาณเตือน

    หากรู้สึกกดดัน เครียด หรือกลัว ให้หยุดเทรดทันที พักสงบจิตใจก่อนกลับมาวิเคราะห์ตลาดใหม่ด้วยใจที่เป็นกลาง

  3. แยกเงินลงทุนออกจากเงินใช้จ่าย

    ใช้เฉพาะเงินที่พร้อมจะเสี่ยงในการเทรด ไม่ใช้เงินที่ต้องใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน เพื่อลดความกดดันทางจิตใจ

  4. กำหนดกฎการเทรดที่ชัดเจน

    สร้างกฎที่ชัดเจนว่าจะเทรดหรือไม่เทรดในสถานการณ์ใด และยึดถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด เช่น ไม่เทรดในช่วงประกาศข่าวสำคัญ หรือไม่เพิ่มสถานะเมื่อขาดทุนเกิน 2%

  5. ฝึกสมาธิและการหายใจ

    ฝึกทำสมาธิวันละ 10-15 นาทีก่อนเริ่มเทรด และใช้เทคนิคการหายใจลึกๆ เมื่อรู้สึกกดดันระหว่างเทรด จะช่วยให้จิตใจสงบและตัดสินใจได้ดีขึ้น

สิ่งสำคัญที่สุดในการควบคุมอารมณ์คือต้องยอมรับว่าตลาดไม่ได้เคลื่อนไหวตามที่เราต้องการเสมอไป การยอมรับผลขาดทุนเล็กๆ และรอจังหวะที่เหมาะสมจะช่วยให้ประสบความสำเร็จในระยะยาว

สรุป: จากมือใหม่หัดเทรดสู่นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จด้วยการอ่านกราฟที่ถูกต้อง

ในครั้งนี้ เราได้พูดถึงผู้ที่ต้องการเรียนรู้การอ่านกราฟเทรดเพื่อสร้างรายได้เสริมและอิสรภาพทางการเงิน โดยกล่าวถึง

  1. วิธีเริ่มต้นดูกราฟเทรดสำหรับมือใหม่
  2. เทคนิควิเคราะห์แนวโน้มราคาในกราฟ
  3. การจัดการความเสี่ยงและจิตวิทยาการเทรด

โดยผู้เขียนได้แบ่งปันประสบการณ์จากการเทรด Forex กว่า 10 ปี พร้อมทั้งเทคนิคที่ใช้งานได้จริง

การเรียนรู้วิธีดูกราฟเทรดที่ถูกต้องไม่ใช่เรื่องยาก หากเริ่มต้นจากพื้นฐานที่เข้าใจง่ายและมีระบบจัดการความเสี่ยงที่ดี

หากผู้ที่กำลังเริ่มต้นเทรดรู้สึกกังวลเรื่องการขาดทุน ขอให้เริ่มจากการฝึกฝนดูกราฟด้วยบัญชีทดลอง และค่อยๆ พัฒนาทักษะไปทีละขั้น

แม้ว่าในช่วงแรกอาจรู้สึกสับสนกับการอ่านกราฟและอินดิเคเตอร์ต่างๆ แต่เมื่อเข้าใจหลักการพื้นฐาน ทุกอย่างจะง่ายขึ้น

ผู้เขียนเข้าใจดีว่าการเริ่มต้นเทรดอาจทำให้รู้สึกกังวลและไม่มั่นใจ เพราะเคยผ่านช่วงเวลาเหล่านั้นมาก่อน

ขอให้มั่นใจว่าทุกคนสามารถประสบความสำเร็จในการเทรดได้ หากมีความมุ่งมั่นและอดทนในการเรียนรู้ ผู้เขียนเชื่อว่าคุณจะสามารถพัฒนาเป็นเทรดเดอร์ที่มีกำไรสม่ำเสมอได้อย่างแน่นอน

ถ้าคุณชอบ โปรดแชร์ด้วยนะ!

ความคิดเห็น

コメントする

สารบัญ